สำนักเศรษฐกิจการคลังเปิดเผยถึง พ.ร.บ.อีเซอร์วิส ว่า ปัญหา…ในโลกยุคใหม่ที่โซเชียลมีเดีย คนไทยกว่า 51 ล้านคนใช้ชีวิตอยู่กับโซเชียลมีเดียเฉลี่ย 3.10 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งทั้งหมดเป็นสื่อที่อยู่ในต่างประเทศ แต่เข้ามากอบโกยเม็ดเงินจากค่าโฆษณาค่าสมาชิก ปีละจำนวนหลายหมื่นล้านบาท แต่ทว่าสื่อเหล่านี้กลับไม่ต้องเสียภาษีใด ๆ ทั้งสิ้น
โซเชียลมีเดียเหล่านี้จึงถูกเปรียบว่าเหมือน “เสือนอนกิน” มาเป็นเวลานาน ทางแก้…กรมสรรพากร ตอบรับนโยบายรัฐบาลลุงตู่ เร่งเสนอร่างกฎหมายอี-เซอร์วิส หรือ กฎหมายการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ เพื่อบังคับใช้เก็บภาษี VAT 7% กับทุกแพลตฟอร์ม ในโซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊ก ยูทูบ เน็ตฟลิกซ์ แอปเปิลเพลย์ สปอร์ติฟาย บุ๊กกิ้งดอทคอม อะโกด้า ลาซาด้า ช้อปปี้ เป็นต้น
ส่งผลให้บริษัทดิจิทัลต่างประเทศ ที่ไม่มีบริษัทลูกในประเทศไทย และมีรายได้ต่อปี จากค่าบริการตั้งแต่ 8 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องมายื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่เสียภาษี ตาม พ.ร.บ. อี-เซอร์วิส โดยจากการประเมินเบื้องต้น คาดว่า มูลค่าการเก็บภาษีจะอยู่ที่ปีละ 3,000 ล้านบาท ที่สำคัญ…คือ การคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการของไทยที่แบกรับภาระภาษีแทนมาโดยตลอด
ทุกประเทศทั่วโลก ต่างก็คิดหาวิธีที่จะจัดเก็บภาษีกับโซเชียลมีเดียเหล่านี้ เช่นเดียวกัน
นโยบายนายกลุงตู่…ไทยควรมีมาตรการที่ไม่ปล่อยให้โซเชียลมีเดียต่างชาติเหล่านี้เอาเปรียบผู้ประกอบการไทย และเพื่อหารายได้กลับเข้ามาพัฒนาประเทศ
ความคืบหน้า…กรมสรรพากรเสนอร่างกฎหมายอี-เซอร์วิส ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว (9 มิ.ย. 63) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา และคาดว่า กฎหมายจะบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2563
รัฐบาลขอย้ำว่า “การเก็บภาษี” นี้… ไม่ใช่เก็บจากตัวสินค้า แต่เป็นการเก็บจากค่าบริการ และค่าโฆษณา ผ่านแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งปัจจุบัน “ธุรกรรมออนไลน์” เติบโตหลายเท่าตัว ทำให้รายได้ของบริษัทจ่างชาติเหล่านี้ เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด