สำหรับประเด็นดราม่า ลุงขายโจ๊ก ที่มีการพูดถึงกันมากในโลกโซเชียลขณะนี้ คงต้องยอมรับว่าเสียงส่วนมากเป็นการตั้งข้อสงสัยจากความผิดปกติในหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าเรามองย้อนกลับไปในตอนเริ่มแรกลุงขายโจ๊กเป็นที่รู้จักจากการโพสต์ของบุคคลหนึ่งที่ให้ช่วยอุดหนุนโจ๊กของลุงที่ต้องขายเพื่อเลี้ยงดูปากท้องของตัวเอง อีกทั้งลุงยังไม่มีที่อาศัยเป็นหลักแหล่งต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ต่อมาเมื่อได้รับการพูดถึงและเป็นที่สนใจต่อมาจึงมีการเปิดบัญชีเพื่อรับบริจาคแบบจริงจัง
สำหรับข้อสังเกตุที่หลายฝ่ายต่างพูดถึง มีประเด็นต่างๆดังนี้
- ลุงขายโจ๊ก บริเวณซอยหมอเหล็งเขตดินแดง ทำไมมีการเปิดบัญชีรับบริจาคสาขาหัวหมาก ซึ่งมีระยะทางค่อนข้างไกล
- ลุงมีบัตรสวัสดิการของรัฐ นั้นหมายถึงลุงจะต้องมีการระบุที่อยู่ในทะเบียนบ้านที่ชัดเจน
- ลุงเคยบอกว่าครอบครัวเสียทั้งหมดแล้ว โดยลูกสาวเสียชีวิตจากกรณีแพรวา9ศพ
- ปัจจุบันมีการปิดรับเงินบริจาคจริงแล้วหรือไม่
- ทำไมถึงไม่มีการชี้แจงยอดการรับบริจาค
- ลุงได้นำจำนวนเงินที่ได้รับบริจาคไปรักษาดวงตาจริงหรือไม่ มีหลักฐานการชำระเงินหรือไม่
อย่างไรก็ตามเราต้องยอมรับว่าคนไทยนั้นมีนิสัยที่ชอบช่วยเหลือแบ่งปัน ซึ่งตรงกับลักษณะหนึ่งทางจิตวิทยาที่เรียกว่าEmpathy เป็นหนึ่งในลักษณะที่กล่าวถึง บุคคลที่เอาใจใส่ซึมซับ ความรู้สึกของผู้อื่น ยิ่งถ้าคนอื่นเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ
เราจะคิดว่า “ถ้าคนๆนั้นเป็นเราหรือเป็นคนในครอบครัวเรา ต้องเดือดร้อนมากแน่”หรือ “เราจะต้องไม่ให้เขารู้สึกว่าเขาอยู่ตัวเดียวบนโลก”
ที่ผ่านมามีการเปิดรับบริจาคผ่านช่องทางออนไลน์หลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นบุคคลซึ่งส่วนมากจะเป็นเด็ก ผู้พิการ ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และยังมีในส่วนของสัตว์เช่นหมาแมว จรจัด หรือที่ได้รับการเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุ
ซึ่งเรื่องราวต่างๆที่มีการแชร์ต่อกันมาไม่มีใครทราบว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริงแท้100เปอร์เซ็นต์จริง ซึ่งในกรณีถ้าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงจะต้องมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย ดังนี้
ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560
ในความผิดมาตรา 14 ระบุโทษการนำข้อมูลที่เปิดเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีทั้ง2กรณี
- โพสต์ข้อมูลปลอม ทุจริต หลอกลวง (อย่างเช่น ข่าวปลอม)
- เผยแพร่ ส่งต่อข้อมูล ที่รู้แล้วว่าผิด
ในความผิดข้างต้นหากเป็นการกระทำที่ส่งผลถึงประชาชน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และหากเป็นกรณีที่เป็นการกระทำที่ส่งผลต่อบุคลใดบุคคลหนึ่ง ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งในกรณีหลังสามารถยอมความกันได้
ในความผิดมาตรา 16 สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลักคือ
- การโพสต์ภาพของผู้อื่นที่เกิดจากการสร้าง ตัดต่อ หรือดัดแปลง ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อย่างเช่นกรณีที่เอาภาพดาราไปตัดต่อ และตกแต่งเรื่องขึ้นมา
- การโพสต์ภาพผู้เสียชีวิต หากเป็นการโพสต์ที่ทำให้บิดามารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย
ในความผิดข้างต้นต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาทได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการแจ้งเตือนแล้วไม่ต้องรับโทษ
ในส่วนพระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พุทธศักราช 2487
พ.ร.บ.ควบคุมการขอทาน 2559 ในมาตรา 13 ระบุว่าห้ามบุคคลใดทำการขอทาน ซึ่งการขอทานหมายความว่า ขอเงินหรือทรัพย์สินจากผู้อื่นเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะเป็นการขอด้วยวาจา ข้อความหรือกิริยาอาการใดๆ เพื่อให้ผู้อื่นเกิดความสงสาร และส่งมอบเงินหรือทรัพย์สินให้
ซึ่งกรณีที่มีการโพสต์ข้อความขอเงินผ่านเฟซบุ๊ก ก็ถือว่าเป็นการขอทานผ่านข้อความ เป็นการใช้ข้อความเพื่อขอเงินหรือทรัพย์สินจากผู้อื่น จึงเข้าข่ายเป็นการขอทานแล้ว
ในความผิดข้างต้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือบุคคลธรรมดา หากต้องการรับบริจาคเรี่ยไรเงินเพื่อสาธารณประโยชน์ จะต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร
ถ้าหากไม่ได้ขออนุญาตอย่างถูกต้องอาจถูกดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงอีกด้วยซึ่งมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 100,000
อ่านข่าว Bright Today