แม้ที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมาจะนี้มีมติรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไข พรบ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร โดยตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาเพื่อแปรญัตติให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 7 วัน
แต่คำอภิปรายในวาระนี้ของนายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภา ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึก ชนิดเป็นการทิ้งระเบิดลูกใหญ่ใส่กองทุนฟื้นฟูฯ และสร้างแรงสั่นสะเทือน ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรให้จมดิ่งลงไปอีก จนไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามเจตนารมณ์ของการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูฯ
นายสังศิต ระบุว่า ปัญหารากเหง้าของกองทุนฯไม่ได้รวมอยู่ในมาตราที่เสนอแก้ไข พรบ.กองทุนฟื้นฟูฯ โดยอ้างถึง ตั้งแต่การจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูฯ เมื่อปี 2542 รวมระยะเวลากว่า 20 ปี และตนในฐานะเคยเป็นรักษาการเลขาธิการกองทุนฟื้นฟูฯ คนที่ 17 โดยก่อนหน้านี้เลขาธิการทั้ง 16 คนมีอายุการทำงานเฉลี่ย 6-8 เดือน และทุกคนพ้นจากตำแหน่งเพราะมีกลุ่มเกษตรกร ประมาณ 3-4 กลุ่ม จากอีสาน 2 กลุ่ม ภาคเหนือ 1 กลุ่ม ภาคกลาง 1 กลุ่มจะสลับกันมาขับไล่ ซึ่งถือเป็นการสะท้อนปัญหาความขัดแย้งในกองทุนฟื้นฟูฯ ที่มีมาโดยตลอดขณะที่ ปัญหาประสิทธิภาพการทำงาน โดยก่อนหน้าที่ตนเข้าไปทำงาน บริษัท ทริส เคยให้ข้อมูลว่า องค์กรแห่งนี้ได้ผลประเมินท้ายสุดของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด ผลงานอยู่ในระดับที่เลวมาก ไม่สามารถปิดงบดุลบัญชีได้เลยตั้งแต่ปี 2542
นายสังศิตกล่าวว่า ซึ่งปัญหาใหญ่ๆ มาจาก
1.โครงสร้างของกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งมี 41 คน เป็นผู้แทนเกษตรกร 20 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 11 คน ซึ่งโดยหลักการที่มาของผู้ทรงคุณวุฒิควรเป็นอิสระ แต่ในความเป็นจริงทั้ง 11 คนผู้แทนเกษตรกรเป็นคนคัดเลือกมาเอง เพราะฉะนั้นลงคะแนนในเรื่องต่างๆ กรรมการสัดส่วนฝ่ายรัฐบาลก็ไม่มีทางชนะ และเป็นปัญหาในการประขุมมาโดยตลอด
2. คณะกรรมการจัดการหนี้ ซึ่งมี 21 คน มีหน้าที่ในการซื้อหนี้ เพื่อให้คณะกรรมการบริหารทำหน้าที่ฟื้นฟูให้เกษตรกรกลับมาเข้มแข็ง แต่ปัญหาคือ กรรมการจัดการหนี้กับกรรมการฟื้นฟูฯ แยกจากกันเด็ดขาดไม่มีการทำงานประสานกัน ทำให้เกษตรกรที่ได้รับการซื้อหนี้จำนวนมากไม่ได้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู และการซื้อหนี้ของเกษตรกร มีข่าวลืออื้อฉาวเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ก่อนตนเข้าไปทำหน้าที่รักษาการเลขาฯ และแม้กระทั่งช่วงที่ตนเป็นรักษาการเลขาฯ ก็มีข่าวเล็ดลอดว่า ผู้แทนเกษตรกรจำนวนหนึ่งไปติดต่อเกษตรกรลูกหนี้ขอเก็บค่าหัวคิว 20-30 %
3.การกล่าวอ้างว่า จำนวนสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ มี 6-7 ล้านคน ตั้งแต่ปี 2542 นั้น ไม่เคยมีการตรวจสอบและไม่เคยมีการยอมให้ตรวจสอบว่า ตัวเลขจริงๆ กองทุนฟื้นฟูฯ มีสมาชิกอยู่เท่าไหร่ เพราะตอนเริ่มต้น มี รัฐมนตรีคนหนึ่งเอารายชื่อสมาชิกสหกรณ์การเกษตรทั้งประเทศเข้าไปใส่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ แม้กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ แต่สมาชิกสหกรณ์เหล่านั้นไม่เคยมาเกี่ยวข้องอะไรกับกองทุนฟื้นฟูฯเลย เป็นการกล่าวอ้างตัวเลขเพื่อของบประมาณแผ่นดิน และมั่นใจว่า องค์กรที่สังกัดกองทุนฟื้นฟูฯกว่า 90 % ในขณะนี้ไม่ได้ทำงานอย่างแข็งขัน
4.โครงสร้างสำนักงานกองทุนฟื้นฟูฯ ต้องกลับมาทบทวนว่า มีศักยภาพในการจัดการหนี้สินและฟื้นฟูฯหรือไม่ เพราะ 20 ปีที่ผ่านมาสำนักงานกองทุนฟื้นฟูฯ สามารถซื้อหนี้เกษตรกรที่มาขึ้นทะเบียน 6-7 แสนคน ได้ประมาณ 3 % ถ้าไม่ปรับปรุงเชื่อว่า อีก 20 ปีก็ไม่สามารถทำหน้าที่จัดการหนี้สินและฟื้นฟูฯเกษตรกรได้
5.ปัญหาการทุจริตของผู้แทนเกษตรกรและเจ้าหน้าที่สำนักงานส่วนหนึ่ง โดยสมัยตนทำหน้าที่รักษาการเลขาฯพบว่า ผู้แทนเกษตรกร สร้างหลักฐานเท็จการเบิกค่าเดินทาง แม้กระทั่งสมัยรัฐบาล คสช.มีกรณีอดีตผู้แทนเกษตรกร ขอยืมเงินสำนักงานกองทุนฟื้นฟูฯ 15 ล้านบาทเพื่อซื้อผลผลิตของเกษตรกร โดยได้รับอนุมัติเงินแล้ว 5 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าไม่ได้ซื้อจริง เพราะข้าวมีอยู่ในโรงสีอยู่แล้ว เพียงแต่ให้เกษตรกรเซ็นชื่อเท่านั้น ลักษณะพฤติกรรมเหมือนโครงการรับจำนำข้าว และสำนักงานฯ ไม่สามารถติดตามตัวผู้แทนเกษตรกรคนนี้ได้เลย นอกจากนี้ยังมีกรณีการย้ายสำนักงานจากบริเวณ อตก.ไปบริเวณวัดเสมียนนารี มีการร้องเรียนกับ ป.ป.ช.ว่า ผู้แทนเกษตรกรส่วนหนึ่งรับคอมมิชชั่นจากเจ้าของตึกที่ไปเช่าสำนักงาน เรื่องนี้ยังอยู่ที่ ป.ป.ช.
นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ อดีตผู้แทนเกษตรกรภาคใต้ ในฐานะเลขาธิการสมาพันธ์เกษตรกรภาคใต้ กล่าวว่า ได้มีการหารือร่วมกับนายรุสดี บินหะยีสะมะแอ ประธานสมาพันธ์เกษตรกรภาคใต้ เห็นตรงกันว่า การอภิปรายของนายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ทำให้เกิดภาพลบต่อกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งหากไม่สามารถทำความจริงให้ปรากฏหรือไม่มีการชี้แจงต่อประเด็นคำอภิปรายดังกล่าวให้กระจ่าง จะส่งผลให้กองทุนฟื้นฟูฯ ไม่สามารถทำงานตอบสนองต่อเกษตรกรหรือทำให้กองทุนฟื้นฟูฯเติบโตต่อไปได้ จึงขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ได้ข้อยุติ โดยทางสมาพันธ์เกษตรกรภาคใต้อยู่ระหว่างหารือกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวเพื่อติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง