เศรษฐกิจไทย อาจเริ่มฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ นายธนวรรธน์ พลวิชัย เผย ดัชนีทุกรายการเพิ่มขึ้น เนื่องจากคลายล็อกดาวน์ ธุรกิจหลายภาคส่วนสามารถเปิดได้ปกติ รวมถึงมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ ยังห่วงอัตราการจ้างงาน และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ยังติดลบประมาณ 10%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่สำรวจจากประชาชนตัวอย่าง 2,248 รายทั่วประเทศว่า ดัชนีเดือนพ.ค. 63 อยู่ที่ระดับ 48.2 เพิ่มขึ้นจาก 47.2 ในเดือนเม.ย. 63 ซึ่งเป็นการฟื้นตัวครั้งแรกในรอบ 15 เดือน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ 32.2 เพิ่มจาก 31.5 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต อยู่ที่ 55.7 เพิ่มจาก 54.6 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 40.2 เพิ่มขึ้น 39.2 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 46.6 เพิ่มจาก 46.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 57.7 ลดจาก 56.4
สาเหตุที่ดัชนีทุกรายการปรับเพิ่มขึ้น เป็นเพราะรัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ เปิดธุรกิจในระยะที่ 1 และ 2 รวมถึงมาตรการฟื้นฟูเศราฐกิจ ทั้งด้านการเงินและการคลัง เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี จาก 0.75% เหลือ 0.50% ต่อปี และการส่งออกของไทยในเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและการว่างงานในอนาคต ที่เกิดจากผลกระทบดังกล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ในส่วนของเศรษฐกิจไทยปี 63 คาดว่า จะติดลบ 5% ถึงลบ 3.5% โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ที่คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ยังติดลบประมาณ 10% ซึ่งน่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว ดังนั้น ในช่วงไตรมาสที่ 3 ต้องการให้รัฐบาลเร่งอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจให้ได้อย่างน้อย 200,000 ล้านบาท โดยเน้นส่งเสริมการจ้างงานในพื้นที่ เพราะจะทำให้เงินเข้าไปหมุนเวียนในเศรษฐกิจฐานรากได้รวดเร็ว รวมถึงให้รัฐบาลช่วยผลักดันการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟทต์โลน) 500,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีด้วย เพราะเอสเอ็มอีจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำของรัฐบาลได้
“คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ เนื่องจากจะเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวน่าจะกลับมาคึกคักมากขึ้น แต่ต้องไม่เกิดเหตุการณ์ระบาดของไวรัสโควิดรอบ 2 และปัญหาทางการเมืองไม่รุนแรง แต่หากตรงกันข้ามกัน ก็คงต้องรอประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้งว่าตัวเลขจีดีพีในปีนี้เป็นอย่างไร”