ตำรวจภาค 7 พร้อมจนท.พิสูจน์หลักฐานจำลองเหตุการณ์การเสียชีวิตของน้องหวาน ลูกจ้างสาวชาวเมียนมา ที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำในบ้านนายจ้าง
หลังจากวานนี้แพทย์สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ แถลงผลการชันสูตรเบื้องต้นให้กับครอบครัวของนางสาวหวาน ปาเปียว ทราบว่ากระสุนเข้าศรีษะทิศทางจากซ้ายไปขวา ซึ่งขัดแย้งกับผลชันสูตรครั้งแรกของแพทย์ รพ.บ้านโป่ง ที่ตำรวจได้จำลองแนววิถีกระสุนตามผลชันสูตรครั้งแรกไปก่อนหน้านี้ด้วย ทำให้ยังมีหลายประเด็นที่ครอบครัวติดใจ วันนี้(7 พ.ย.60) จนท.ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องจึงได้มีการเข้าจำลองเหตุการณ์ พร้อมนำครอบครัวผู้เสียชีวิตและตัวแทนสถานทูตเมียนมาเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ในที่เกิดเหตุจริงด้วย
พล.ต.ต.กฤษณะ ทรัพย์เดช รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ระบุว่า การจำลองเหตุการณ์ในครั้งนี้ ได้นำผลชันสูตรจากแพทย์นิติเวชมาประกอบเพื่อดูทิศทางแนววิถีกระสุน และเพื่อให้ครอบครัวมาเห็นที่เกิดเหตุจริง เพื่อคลายข้อสงสัยในประเด็นต่างๆ ถึงสาเหตุการเสียชีวิต โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปบันทึกภาพภายในบ้านที่เกิดเหตุ
หลังใช้เวลาจำลองเหตุการณ์ เกือบ 2 ชม. จากนั้นครอบครัวได้เปิดเผยว่า หลังฟังคำชี้แจงและดูการจำลองเหตุ ครอบครัวยังไม่พอใจและไม่เชื่อว่าน้องหวานฆ่าตัวตาย เพราะไม่มีเหตุผลที่จะจูงใจให้ทำแบบนั้น แม้ผลชันสูตรจากสถาบันนิติเวช จะตอบข้อสงสัยท่าทางการยิงและวิถีกระสุนได้ แต่ยังมีหลายประเด็นที่ครอบครัวติดใจ โดยเฉพาะการที่ จนท.สามารถอธิบายสิ่งที่ผิดจากผลชันสูตรครั้งแรกทำให้เห็นว่าเป็นการฆ่าตัวตายเองได้ ทั้งที่ไม่ใช่ทิศทางกระสุนที่ถุกต้อง
ส่วนประเด็นเรื่องเงินเก็บของผู้ตายหายไปอาจเป็นปมที่ทำให้ฆ่าตัวตาย ทางครอบครัวก็ยืนยันว่าหวานไม่มีเงินเก็บ เพราะจะส่งเงินให้แม่หมดจึงไม่น่าจะเป็นมูลเหตุ โดยหลังจากนี้ ตัวแทนสถานทูตเมียนมาเปิดเผยว่า อยากให้ดีเอสไอหรือหน่วยงานที่อื่นเข้ามาช่วยเหลือคดีนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพราะยังติดใจในหลายประเด็น และไม่มั่นใจการทำงานของเจ้าหน้าที่
สำหรับการเข้าไปจำลองเหตุในวันนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตได้พบกับนายจ้าง หลังนางสาวหวานเสียชีวิต จนมีการไปร้องกองปราบให้รื้อคดีมาตรวจสอบใหม่ แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกัน