กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เมื่อผู็ว่าราชการกรุงเทพ ออกมาประกาศว่าจะเข้ามาบริหารหอศิลป์กรุงเทพฯเพื่อความโปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แถมยังขู่ว่าหากไม่ให้ดูแล สภา กทม. อาจระงับอุดหนุนงบฯ หลังจากประกาศได้ 2วัน มีฎิกริยาโต้กลับอย่างแรงทันที
วันนี้ (14 พ.ค.) นายวสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินรางวัลศิลปาธร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Vasan Sitthiket” ระบุถึงเรื่อง กทม. จะเข้ามาบริหารหอศิลป์ ว่า จะมีการนัดระดมพลกันที่บริเวณหน้าหอศิลป์ เวลา 09.00 น. ของวันที่ 15 พ.ค. จากนั้นจะเดินทางไปยื่นหนังสือทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นหนังสือ ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใน 3ประเด็น คือ 1. เพื่อขอให้ยุติการดำเนินการของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ในการเข้าฮุบบริหารหอศิลป์ 2. กทม. ควรสนับสนุนงบประมาณให้แก่หอศิลป์ตามเดิม ปีละประมาณ 40 กว่าล้านบาท ซึ่งปีนี้ไม่ได้มีการสนับสนุนงบประมาณแต่อย่างใด และ 3. ขอให้ปลด พล.ต.อ.อัศวิน ออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ โดยไม่ได้มีการเดินขบวนแต่อย่างใด ซึ่งถือเป็นมาตรการขั้นแรกในการเจรจาขอให้ยุติการดำเนินการ
1.กรุงเทพมหานคร จะเอาหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ไปบริหารจัดการเอง
2.เราคิดว่ากรุงเทพมหานคร ไม่มีประสบการณ์ และความสามารถในการบริหารจัดการงานลักษณะนี้
3.ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา หอศิลป์กรุงเทพ บริหารงานโดย มูลนิธิหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร มีประชาชนคนไทยและนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเฉพาะปี 2560 จำนวน 1 ล้าน 7 แสนราย
ได้รับการเรต 4.5 ดาว จาก google map โดยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่ได้เข้ามาใช้บริการในหอศิลป์กรุงเทพ ในปี 2560 ที่ผ่านมามีกิจกรรมและนิทรรศการมากกว่า 400 กิจกรรม รวมถึงเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงออกเรื่องสังคม การเมืองและสิ่งแวดล้อม
4.การบริหารการจัดการศิลปะและวัฒนธรรม ไม่ใช่เรื่องทางการปกครอง ควรจะเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีความรู้ประสบการณ์เฉพาะทาง และควรเป็นองค์กรที่มีอิสระในการดำเนินงานในระบบบริหารจัดการสมัยใหม่และเป็นสากล
ล่าสุด พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการ กทม. แจงผ่านเฟซบุ๊ก ปมฮุบบริหาร “หอศิลป์ฯ” แล้วว่า ไม่เคยคิดเอาไปทำห้างสรรพสินค้าตามที่เป็นกระแสข่าวออกมา ไม่เคยมีความคิด และไม่มีทางที่จะทำลายสถานที่แสดงศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศเรา เพียงแต่เราต้องการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้ได้ใช้ประโยชน์สูงสุด ปัจจุบันพื้นที่บางส่วนของหอศิลป์ฯ ยังไม่ได้มีการใช้ประโยชน์ เราต้องการนำพื้นที่เหล่านั้นมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ หนึ่งในแนวทางที่อยากจะปรับปรุงก็คือ การนำพื้นที่เหล่านั้นมาปรับเป็นให้เป็นสถานที่ที่ทุกคนได้เข้ามาใช้ สร้างสรรค์งานศิลป์ ทำงาน พบปะ และ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือที่เรียกกันว่า co-working space ในส่วนนิทรรศการก็ยังจะต้องใช้เพื่อแสดงงานศิลปะและวัฒนธรรมอย่างเดิม ซึ่ง ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วย กทม.ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพัฒนาในพื้นดังกล่าวครับ
หอศิลป์ฯ ก่อตั้งปีนี้เป็นปีที่ 10 แล้ว เกิดขึ้นจากความปรารถนาดีของเครือข่ายศิลปินที่มุ่งหวังให้ กทม.มีพื้นที่รองรับในการแสดงผลงาน โดยริเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2537 แต่เปิดเป็นทางการเมื่อปี 2551 โดยกรุงเทพมหานครได้โอนสิทธิในตัวอาคารหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ให้แก่มูลนิธิหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครเป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดการ ขณะที่กรุงเทพมหานคร ยังคงเป็นภาคีเครือข่ายผู้ทำงานด้านศิลปวัฒนธรรม และยังคงให้การสนับสนุนการดำเนินงานของหอศิลปฯ ซึ่งในแต่ละปีมีประชาชนเข้ามาเยี่ยมชมหลายแสนคน
