เกษตรกรชาวอุดรธานี ปลูกส้มปลอดสารพิษมานานกว่า 20 ปี เมินปลูกยางพาราแม้ไม่มีภาครัฐสนับสนุน แถมไม่ง้อพ่อค้าคนกลาง สร้างรายได้ดีปีละ 1 แสนบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.อุดรธานี เดินทางไปที่สวนส้ม บ.โนนสูง ม.9 ต.บ้านหยวก อ.น้ำโสม ที่ส้มกำลังออกลูกเต็มต้น โดยสวนไร่ส้มเป็นของ นางหมอง ดานะ อายุ 65 ปี และ นายชาติชาย เผ่าถาวร อายุ 41 ปี แม่ยายและลูกเขย ชาวบ้าน ม.9 ต.บ้านหยวก อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี ที่กำลังล้างทำความสะอาดผลส้มที่เก็บมาจากต้นส้มในสวนด้วยสก๊อตไบร์สขัดที่เปลือกส้มด้วยน้ำเปล่า เพื่อเตรียมนำส้มที่เก็บมาเร่ขายตามหมู่บ้าน
นางหมอง เจ้าของสวนส้ม เล่าให้ฟังว่า ตนเป็นเกษตรกรมีที่ดินทั้งหมด 42 ไร่ แบ่งเป็นไร่มันสำปะหลัง 30 ไร่ ทำนา 5 ไร่ และแบ่งทำสวนส้ม 4 ไร่ ที่เหลือขุดบ่อน้ำ สร้างกระท่อมนา และทำสวนครัว จนเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ตนและเพื่อนบ้านกว่า 20 คนเหมารถยนต์ไป จ.เลย เพื่อซื้อต้นส้มพันธุ์สายน้ำผึ้ง และส้มเขียวหวานหัวจุก เพื่อนำมาปลูกที่น้ำโสม โดยตนได้ซื้อมา 300 ต้น ๆ ละ 10 บาท เป็นเงิน 3,000 บาท ได้นำต้นส้มมาปลูกในพื้นที่ 4 ไร่ ทำให้ตอนนั้นที่ บ.โนนสูง มีสวนส้มประมาณ 20 สวน ซึ่งตนสูบน้ำจากลำห้วยขนาน ที่อยู่ห่างจากสวนส้มประมาณ 500 เมตร สูบมาใส่บ่อน้ำที่ขุดไว้ แล้วต่อสายยางรดน้ำต้นส้ม และบำรุงด้วยการใส่ปุ๋ย ลงทุนทำสวนส้มตอนนั้นประมาณ 10,000 บาท
เจ้าของสวนส้ม อธิบายเพิ่มเติม ว่า ปีแรกและปีที่สองต้นส้มยังเล็กยังไม่ได้ผลผลิต แต่จะดูแลต้นส้มอย่างดีทั้งถางหญ้า รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย จนปีที่ 3 ต้นส้มได้ออกลูกมาจำนวนมาก จึงต้องเด็ดลูกส้มที่เล็กทิ้งไป เพื่อเหลือส้มลูกใหญ่และสมบูรณ์ไว้ จนสามารถเก็บผลผลิตขายได้ รสชาติดี หวานอมเปรี้ยว ขายกิโลกรัมละ 10 บาท ตอนนั้นมีพ่อค้ารับซื้อถึงสวน ขายส้มได้ไม่กี่ปีก็ได้ทุนคืน ต่อมาคนตัดส้มทิ้งหันไปปลูกยางพาราแทนเหลือแต่สวนส้มของตนที่เดียว ซึ่งที่ผ่านมาหากปีไหนแล้งก็ได้ส้มน้อยเหมือนปีที่ผ่านมาแล้งจัดขายส้มแทบไม่ได้ แต่มาปีนี้เองน้ำดีส้มก็ออกมาก ทำให้ตนขายส้มได้มีกำไรเล็กน้อย โดยที่ผ่านมามีรายได้เพิ่มจากการขายส้มปีละ 70,000-100,000 บาท โดยใช้แรงงานภายในครอบครัวช่วยกัน
ขณะที่ นายชาติชาย เผ่าถาวร ลูกเขยของ นางหมอง บอกว่า ตนได้มาทำสวนส้มช่วยแม่ยายเมื่อหลายปีก่อน โดยศึกษาการปลูก ดูแลรักษาจากทางยูทูบว่าจะต้องใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ปีละ 6 กระสอบ ต้องรดน้ำทุกวัน และกำจัดศัตรูของส้ม ซึ่งตนจะไม่ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดต้นส้ม แต่จะใช้น้ำหมักชีวภาพแทน เพราะตนคิดว่าเราก็กินส้มเช่นเดียวกับลูกค้า โดยหลังจากมีการนำยางพารามาปลูกในภาคอีสาน และรัฐบาลชักชวนให้เกษตรกรในภาคอีสานปลูกยางพารา เพราะยางมีราคาดี ทำให้เกษตรกรที่ทำสวนส้ม ได้ตัดต้นส้มทิ้งหันมาปลูกยางกันหมด แต่แม่ยายและตนไม่ได้ปลูกยาง และไม่ตัดต้นส้มทิ้ง ทำให้เหลือเพียงสวนส้มของตนอยู่สวนเดียว เนื่องจากไม่มีเงินทุนและต้องรอนานถึง 7 ปีจึงจะกรีดยางได้ นอกจากนั้น การเหลือเพียงสวนเดียวทำให้พ่อค้าคนกลางไม่มารับซื้อถึงสวนต้องปรับแผนด้วยการปลูกเอง ขายเองโดยตรง ออกขายตามหมู่บ้านและตลาด ในราคากิโลกรัมละ 25 บาท หักต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 70,000-100,000 บาท ก็สามารถอยู่ได้แล้ว
นายชาติชาย บอกอีกว่า ทุกวันนี้ต้นส้มมีอายุมากกว่า 20 ปีแล้ว และได้ทยอยตายไปจำนวนมาก เพราะมีปลวกมากัดกินรากต้นส้มจนยืนต้นตาย ก็มีการชำกิ่งปลูกแทน อีกทั้งบางปีมัวแต่ดูไร่นาจนลืมสูบน้ำจากลำห้วยมากักเก็บไว้ในบ่อสำหรับรดสวนส้ม ทำให้ต้นส้มขาดน้ำ ผลผลิตจึงไม่สมบูรณ์ ลูกเล็ก ทุกวันนี้ทำสวนส้มตามยถากรรมโดยไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยเหลือ เพราะที่ดินของตนยังเป็น ภบท.5 ยังไม่ได้ยื่นขอเป็นที่ สปก. ไม่มีสถาบันการเงินไหนให้กู้ยืม ส่วนที่ดินรอบข้างเป็น สปก. กันหมดแล้ว หากต้องรื้อสวนส้มแล้วปลูกใหม่ จะต้องต่อท่องทำระบบน้ำหยด คงต้องลงทุนประมาณ 2 หมื่นบาทแต่ตนก็จะทำสวนส้มจนกว่าจะไม่มีคนซื้อ