รัฐบาลกัมพูชา ออกแถลงการณ์อ้างไทยขู่ยึดปราสาทตาควายด้วยกำลังทหาร และไม่ปล่อยเชลยศึก 18 คน อาจเข้าข่ายละเมิดข้อตกลงสันติภาพ
6 พ.ย. 68 สำนักงานโฆษกรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ไทยอาจกำลังเข้าข่ายละเมิดข้อตกลงสันติภาพ
โฆษกรัฐบาลกัมพูชาระบุว่า “ขอแจ้งให้สาธารณชนทั่วไปทราบว่า นับตั้งแต่การลงนามปฏิญญาร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 68 ซึ่งมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียน เป็นสักขีพยาน กัมพูชาได้เคารพและปฏิบัติตามข้อที่ตกลงกันไว้ทุกประการอย่างเคร่งครัด”
“อันที่จริง หลังจากการลงนามในปฏิญญาร่วมฉบับนี้ กัมพูชาและไทยได้เริ่มดำเนินการตามข้อตกลงเกี่ยวกับการถอนอาวุธหนักและอาวุธทำลายล้างบางส่วนออกจากพื้นที่ชายแดนในคืนวันที่ 26 ต.ค. 68 ภายใต้การสังเกตการณ์ของทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ต่อมา ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะถอนอาวุธหนักและอาวุธทำลายล้างดังกล่าวออกไป และจะทยอยถอนออกไปเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 68 เป็นต้นไป”
“ในขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายกำลังดำเนินการในประเด็นอื่น ๆ เช่น ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงอาชญากรรมไซเบอร์ การค้ามนุษย์ และการกำจัดทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม เป็นต้น ฝ่ายกัมพูชาได้ทำงานอย่างแข็งขันและจริงใจเพื่อรักษาสันติภาพระหว่างสองประเทศ คือ กัมพูชาและไทย รวมถึงสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียนโดยรวม ผู้นำกัมพูชาและเจ้าหน้าที่รัฐบาลได้ใช้ความอดกลั้นอย่างสูงเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ”
“อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทย ทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ได้แสดงความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และเงื่อนไขของปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่ไทยเหล่านั้นได้นำประเด็นที่ตกลงกันไว้ในปฏิญญาร่วมมาใช้เป็นเงื่อนไขในการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นายที่ถูกจับตัวไปภายใต้การกักขังของกองทัพไทย และยังได้กำหนดเงื่อนไขใหม่ ๆ ขึ้นมาอีก เช่น กรณีปราสาทตาควาย โดยข่มขู่ว่าจะใช้กำลังทหารยึดปราสาท ส่งผลให้สถานการณ์ตึงเครียดรุนแรงขึ้น และก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียความไว้วางใจซึ่งกันและกันในการแก้ไขปัญหาโดยสันติตามที่ระบุไว้ในปฏิญญาร่วม”
“ข้ออ้างของเจ้าหน้าที่ไทยบางคนขัดแย้งกับข้อ 4 ของปฏิญญาร่วม ซึ่งระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะงดเว้นจากการเผยแพร่หรือส่งเสริมข้อมูลเท็จ การกล่าวหา และวาทกรรมที่เป็นอันตราย ไม่ว่าจะผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการของรัฐบาลหรือแพลตฟอร์มที่ไม่เป็นทางการ เพื่อลดความตึงเครียด ลดความรู้สึกเชิงลบของสาธารณชน และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจรจาอย่างสันติ”
“ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรทราบคือ ฝ่ายไทยไม่ได้ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของปฏิญญาร่วม ณ วันที่ 5 พ.ย. 68 เป็นเวลา 10 วันแล้วนับตั้งแต่มีการลงนามปฏิญญาร่วม และไทยยังไม่ได้ปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย ซึ่งขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของปฏิญญาร่วม ในการปฏิบัติตามพันธกรณีของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ”
“ทั้งนี้ ข้อ 5 ของปฏิญญาร่วม ระบุว่า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของประเทศไทยที่จะส่งเสริมความไว้วางใจและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ประเทศไทยจึงรับรองว่าจะปล่อยตัวเชลยศึกโดยเร็ว”