“สรรพากร” ออกประกาศให้เจ้าของบัญชีเงินที่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากไม่เกินปีละ 2 หมื่นบาท ลงทะเบียนกับแบงก์ภายใน 15 พ.ค.นี้ ก่อนส่งสรรพากรตรวจสอบ หากต้องการได้สิทธิยกเว้นภาษีจากรายได้ดอกเบี้ยเงินฝากต่อ
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 เม.ย.2562 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้ลงนามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 344) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์และผลตอบแทนเงินฝาก ตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์
สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ กำหนดให้ผู้มีเงินได้ที่ได้รับดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝาก ไม่เกินปีละ 2 หมื่นบาท ต้อง “ยินยอม” ให้ธนาคาร ซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝาก นำส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากต่อกรมสรรพากร เพื่อจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ เมื่อได้รับดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝาก ไม่เช่นนั้นจะต้องเสียภาษี หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของรายได้จากดอกเบี้ย จากปัจจุบันที่ผู้ฝากเงินได้รับผ่อนผันไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝาก นำส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทุกบัญชี ต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทำขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนำส่งตามวิธีการที่กำหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th
สำหรับรายละเอียดของประกาศฉบับนี้ ประกอบด้วย ข้อ 3 ระบุว่า ดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝากที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝากทุกบัญชีรวมกัน มีจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น
(2) ชื่อบัญชีเงินฝากและเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ใช้ในการเปิดบัญชีเงินฝากจะต้องเป็นของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝากนั้น
(3) ผู้มีเงินได้ซึ่งได้รับดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝาก ต้องยินยอมให้ธนาคารทุกธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝาก นำส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากของผู้มีเงินได้ต่อกรมสรรพากรตามรูปแบบที่ธนาคารกำหนดโดยให้ธนาคารนำส่งข้อมูลดังกล่าวต่อกรมสรรพากรตามข้อ 5 และเก็บหลักฐานการยินยอมไว้เพื่อให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบต่อไป
(4) ผู้มีเงินได้ต้องไม่นำดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากที่ได้รับไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ส่วนข้อ 4 ระบุว่า กรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามข้อ 3 ผู้มีเงินได้นั้นไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งตามมาตรา 50 (2) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากรหากธนาคารไม่ได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่ง ให้ธนาคารนำส่งภาษีที่ต้องนำส่งพร้อมกับเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องนำ ส่ง ตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ 5 เมื่อผู้มีเงินได้ให้ความยินยอมตามข้อ 3 (3) แล้ว ให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ย หรือผลตอบแทนเงินฝากนำส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทุกบัญชี ต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทำขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนำส่งตามวิธีการที่กำหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th การนำส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากตามวรรคหนึ่ง ให้นำส่งภายในกำหนดเวลา ดังนี้
(1) สำหรับข้อมูลที่เกี่ยวกับการคำนวณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากในครึ่งปีแรก โดยคำนวณถึงวันที่ 15 พฤษภาคม ให้นำส่งภายในวันที่ 20 พฤษภาคมของปีนั้น
(2) สำหรับข้อมูลที่เกี่ยวกับการคำนวณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทั้งปี โดยคำนวณถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน ให้นำส่งภายในวันที่ 20 พฤศจิกายนของปีนั้น
(3) สำหรับข้อมูลการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากในครึ่งปีแรก ซึ่งได้จ่ายก่อนหรือในวันที่ 30 มิถุนายน ให้นำส่งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น
(4) สำหรับข้อมูลการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทั้งปี ซึ่งได้จ่ายก่อนหรือในวันที่ 31 ธันวาคม ให้นำส่งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป
แหล่งข่าวจากสถาบันการเงิน กล่าวว่า ประกาศฉบับนี้จะสร้างภาระให้กับแบงก์และประชาชนเจ้าของบัญชีเงินฝาก เพราะผู้ที่มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากไม่เกิน 20,000 บาท/ปี และต้องการได้สิทธิยกเว้นหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ต่อไป จะต้องมาลงทะเบียนกับทางแบงก์ และหากผู้มีเงินได้เป็นเจ้าของบัญชีมากกว่า 1 ธนาคาร ก็จะต้องลงทะเบียนกับทุกธนาคาร
นอกจากนี้ การกำหนดให้เจ้าของบัญชีจะต้องมาลงทะเบียนยินยอมภายในวันที่ 15 พ.ค.2562 เพื่อที่แบงก์จะได้นำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรภายในวันที่ 20 พ.ค.2562 ถือว่าเป้นระยะเวลาที่น้อยเกินไป ในขณะที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ในปัจจุบันกว่า 135 ล้านบัญชี แบ่งเป็นธนาคารพาณิชย์เอกชนกว่า 80 ล้านบัญชี และธนาคารของรัฐ 58 ล้านบัญชี อีกทั้งแบงก์จะต้องมีการลงทุนระบบไอที เพื่อรองรับการนำส่งข้อมูลของผู้ที่ยินยอมฯไปยังกรมสรรพากร
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ณ เดือน ก.พ.2562 มีบัญชีเงินฝากประเภท “บัญชีออมทรัพย์” ในระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งสิ้น 88,074,876 บัญชี มียอดเงินฝากรวม 7,573,553 ล้านบาท
ในจำนวนนี้เป็นบัญชีที่มียอดเงินฝากไม่เกิน 5 หมื่นบาท 77,707,552 บัญชี มียอดเงินฝาก 366,956 ล้านบาท ,เป็นบัญชีที่มียอดเงินฝากเกิน 5 หมื่นบาทแต่ไม่เกิน 1 แสนบาท 3,476,479 บัญชี มียอดเงินฝาก 244,257 ล้านบาท ,เป็นบัญชีที่มียอดเงินฝากเกิน 1 แสนบาทแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท 2,677,458 บัญชี มียอดเงินฝาก 370,821 ล้านบาท และเป็นบัญชีที่มียอดเงินฝากเกิน 2 แสนบาทแต่ไม่เกิน 5 แสนบาท 2,271,076 บัญชี มียอดเงินฝาก 707,168ล้านบาท
ในขณะที่บัญชีเงินฝากประเภท “บัญชีฝากประจำ” ตั้งแต่ 3 เดือนไปจนถึงมากกว่า 2 ปี มีทั้งสิ้น 8,792,702 บัญชี ยอดเงินฝากรวม 4,782,707 ล้านบาท
อ่านเพิ่มเติม http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/kormor/newlaw/dg344.pdf