4 สาว 4 พรรคการเมือง ประชันดีเบตเลือกตั้ง “พลังประชารัฐ” ปัดมี 250 เสียงส.ว.ตุนไว้แล้ว อัดอย่าดูถูกเลือกนายกฯ “เพื่อชาติ” โวยที่มารธน.เอื้อให้บางกลุ่ม เขียนสูตรส.ว.มาจาก คสช. “ชาติพัฒนา” วอนแก้ปมขัดแย้งพาประเทศเดินหน้า ด้าน “ประชาธิปัตย์” ชูขจัดความเหลื่อมล้ำ ให้ปชช.กำหนดประเทศ
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 มี.ค.รายการ “ทุบประเด็น” ทางสถานีโทรทัศน์ไบรท์ทีวี จัดดีเบต หัวข้อ “ดอกไม้การเมือง พร้อมพัฒนาชาติ หรือแค่สวย” โดยมีตัวแทน 4 พรรคการเมืองเข้าร่วม ประกอบด้วย น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ผู้สมัครส.ส.ระบบเขตจากพรรคพลังประชารัฐ น.ส.เยาวภา บุรพลชัย ผู้สมัครส.ส.ระบบเขตจากพรรคชาติพัฒนา น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อจากพรรคประชาธิปัตย์ และ น.ส.ชุติมา กุมาร ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อชาติ
น.ส.เยาวภา กล่าวว่า การอาสามาทำงานให้ประชาชนจะต้องทำให้เห็นว่ามีความมุ่งมั่นอย่างไร เพราะเรื่องหน้าตาเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น หากสนับสนุนผู้หญิงเป็นส.ส.ในสภาเพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้ผู้หญิงด้วยกันโดยการผลักดันกฎหมายสตรีและเด็กซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวในสังคม แต่ปัญหาสำคัญในประเทศถ้าไม่นับเรื่องปัญหาปากท้องแล้ว ปัญหาความขัดแย้งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้นความคิดเห็นทางการเมืองควรจะเคารพกันและเดินหน้าการเลือกตั้ง พร้อมยอมรับผลการเลือกตั้งที่ตามมา สำหรับการที่ส.ว.จะได้เข้ามาเลือกนายกฯนั้น เห็นว่าให้ไปตามกติกาที่ต้องยึดตามนั้น แต่อยากให้ทุกฝ่ายรักษาบรรยากาศให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เมื่อผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับ
“สำหรับพรรคชาติพัฒนามีนโยบายลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้ประชาชน รวมถึงการดูแลผู้สูงอายุเดือนละ 2 พันบาท นอกจากนี้ยังมีนโยบายอุทยานการเรียนรู้ให้ฟรี เพื่อลดค่าใช้จ่ายแต่ละด้านของประชาชน โดยนโยบายของชาติพัฒนานำหลักการทำงานจากน้าชาติ เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า โดยขยายโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และทำให้เมืองไทยเป็นเมืองการท่องเที่ยว”น.ส.เยาวภา กล่าว
น.ส.สุชาดา กล่าวว่า จากจำนวนประชากรในประเทศมีผู้หญิงมากกว่าผู้ช่วย แต่สัดส่วนของส.ส.ในสภามีมีเพียง 6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทั้งที่ผู้หญิงก็มีควมามเข้าใจและมีศักยภาพไม่ต่างกับผู้ชาย นอกจากนี้ใครคิดว่าจะมองแค่ความสวยเป็นจุดสนใจ แต่อยากให้มองลึกเข้าไปมากกว่าหน้าตากับสิ่งที่เราต้องการสื่อสารและการทำงานเพื่อประเทศชาติ เพราะอยากผลักดันนโยบายออกไปจึงมองว่าเป็นโอกาสที่จะเข้ามา ส่วนปัญหาประเทศชาติหากมองรากเหง้าความขัดแย้งนั้น ก็ไม่ได้มากจากการเมืองทั้งหมด แต่เกิดจากความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียม ขณะที่เรื่อง 250 ส.ว.มาเลือกนายกฯนั้น สิ่งที่ประชาธิปัตย์พูดอยู่เสมอว่าประชาชนต้องเป็นผู้กำหนดทิศทางของประเทศชาติ
“ส่วนนโยบายของประชาธิปัตย์ที่คิดมานั้นจะตั้งใจแก้จนสร้างคนสร้าชาติ อาทิ เบี้ยผู้สูงอายุ 1 พันบาทต่อเดือน หรือเบี้ยผู้ยากไร้นำเงินไปใช้จ่ายได้ทุกที่ หรือการรักษาพยาบาลจะรักษาฟรี หรือเกิดปุ๊บรับเงินแสน 5 พันบาทเดือนแรก และ 1 พันบาทต่อไป”น.ส.สุชาดา กล่าว
ด้าน น.ส.ภาดาท์ กล่าวว่า เชื่อว่าที่พรรคพลังประชารัฐคัดเลือกเข้ามาไม่ใช่เพราะเรื่องหน้าตา แต่เลือกจากความรู้และประสบการณ์ วันนี้อยากให้ทุกคนคุยกันเรื่องนโยบายมากกว่าความขัดแย้ง โดยพลังประชารัฐมีนโยบาย 3 ด้าน 1.เศรษฐกิจประชารัฐ 2.สังคมประชารัฐ และ 3.สวัสดิการประชารัฐ ส่วนตัวถนัดเรื่องสิ่งแวดล้อมจึงอยากเข้ามาแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมตรงนี้ ส่วนเรื่อง 250 ส.ว.เข้ามาโหวตเลือกนายกฯนั้น ภายหลังรัฐธรรมนูญผ่านประชามติจากประชาชนมากกว่า 14 ล้านเสียงแล้ว ดังนั้นต้องเคารพในเสียงประชาชนที่ต้องการให้เป็นแบบนี้ ก็รู้สึกไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ แต่มีคนถามเสมอว่าพลังประชารัฐมี 250 เสียงในกระเป๋าใช่หรือไม่ ก็ตอบไปเหมือนเดิมว่า ส.ว.เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจึงไม่สามารถไปบังคับส.ว.ได้ว่าต้องเลือกพรรคไหน ถ้าพูดว่าว่าส.ว.ต้องเลือกพลังประชารัฐถือว่าจะไปดูถูกส.ว.ทั้งหมด
“พลังประชารัฐไม่เคยคุยกันว่าเรามีทุนแล้ว 250 เสียง แต่เราพูดเสมอว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ประชาชนเลือกเรา พลังประชารัฐพูดเสมอว่าใครมีนโยบายที่ดีเราพร้อมจับมือ หรือแม้แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่เป็นรัฐบาลแต่มีนโยบายดี เราก็พร้อมรับนโยบายมาทำต่ออยู่แล้ว ส่วนเรื่องความเหลื่อมล้ำนั้นรัฐบาลปัจจุบันให้นโยบายสวัสดิการประชารัฐโดยให้ปัจจัยพื้นฐานให้ประชาชนอยู่ได้ และพลังประชารัฐก็ชื่นชอบนโยบายของรัฐบาลนี้ จึงอยากจะสานนโยบายต่อไป”น.ส.ภาดาท์ กล่าว
ขณะที่ น.ส.ชุติมา กล่าวว่า เรื่องความสวยเป็นเรื่องความชอบของแต่ละคน แต่ผู้หญิงจะสวยได้ด้วยประสบการณ์การใช้ชีวิต เชื่อว่าทุกคนมีประสบการณ์อยู่แล้ว แต่จะนำประสบการณ์ที่มีมาทั้งหมดมาทำงานเพื่อประชาชนได้แค่ไหน ทั้หมดจะอยู่ที่พรรคเพื่อชาติและประชาชน แต่ก่อนหน้านี้เป็นผู้ประกาศข่าวสายการเมืองมา 10 ปี เมื่อมีการชักชวนจึงตอบรับทันทีเพราะเห็นจากวิถีชีวิตของชาวบ้านและอยากจะเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน ปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศคือปัญหาความขัดแย้ง และผู้ที่ฉวยโอกาสจากความขัดแย้งของคนอื่น จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างอ้างเหตุการณ์ความรุนแรง สุดท้ายความขัดแย้งก็จบที่การนองเลือด แต่คนขัดแย้งหรือเห็นต่างต้องไม่ทำให้เกิดความรุนแรง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาฝ่ายทหารมาปกคราองประเทศแต่ปัญหายังไม่จบ ซึ่งทุกคนหวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ทุกฝ่ายต้องยอมรับคะแนนการเลือกตั้ง
“มีคนเคยกล่าวไว้ว่าใครเขียนรัฐธรรมนูญก็เอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มนั้น ถ้าเห็นสูตรที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องแปลกมากจากที่ส.ว.มาจากการสรรหาจาก คสช.ทั้งหมด ถ้ามาเป็นแบบนี้จะให้ประชาชนยอมรับได้หรือไม่ แต่ในเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านประชามาติมาแล้วเราคนไทยก็ต้องยอมรับในกติกา แต่ถ้าเสียงที่รวบรวมจากพรรคการเมืองออกมาเกิน 250 เสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล อีกฝ่ายหนึ่งยอมหรือไม่ เพราะผู้มีอำนาจอย่างพล.อ.ประยุทธ์มีเสียง ส.ว.รออยู่แล้ว 250 เสียง และรอแค่ 126 เสียงเท่านั้น แต่ฝ่ายประชาธิปไตยถ้าได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง อีกฝ่ายจะยอมรับหรือไม่ ถ้าไม่ยอมรับเอารถถังมารัฐประหารอีกก็จบลงไม่ได้สำหรับประเทศนี้”น.ส.ชุติมา กล่าว
น.ส.ชุติมา กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ พรรคเพื่อชาติมองเรื่องปากท้องเป็นหลัก โดยจะตัดลดงบประมาณจากบางกระทรวง อาทิ กระทรวงกลาโหม เพื่อนำงบประมาณมาใช้ให้ประชาชน ส่วนปริญญาตรีได้ 1.5 หมื่นบาทนั้น พรรคเพื่อชาติจะให้ 1.8 หมื่นบาทต่อเดือน และภายใน 4 ปีจะขยับเป็น 2 หมื่นบาทให้ได้
