ประมาทเกือบพาลูกเจ็บ พ่อใจเด็ดพกปืนติดตัวพาลูก-เมีย ซ้อนท้าย จยย.ไปส่งโรงเรียน ก่อนเจออริไล่บี้กลางถนน สุดท้ายเสียหลักล้มทำ ปืนลั่นใส่ขาตัวเอง
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 6 มี.ค. ตำรวจสน.ทุ่งครุ รับแจ้งเหตุมีชายถูกยิงด้วยอาวุธปืนได้รับบาดเจ็บ จึงประสานอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูเพื่อเดินทางไปตรวจสอบที่บริเวณฝั่งตรงข้าม โรงเรียนราษฎร์บูรณะ ( มูลฮัมหมัดอุทิศ ) ถนน ประชาอุทิศ แขวง ทุ่งครุ เขต ทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร พบผู้บาดเจ็บชาย 1 ราย อยู่ในลักษณะนอนหงาย หน้าจมกองเลือดอยู่บนพื้นฟุตบาท สวมกางเกงขาสั้นสีขาว ไม่สวมเสื้อ ไม่สวมรองเท้า และพบบาดแผลเปิดขนาดใหญ่บริเวณน่องขาข้างขวา
ทราบชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บ ชื่อ นายพงศ์สิทธ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น MSX สีขาว ทะเบียน 2กก 8748 กรุงเทพมหานคร ได้รับความเสียหาย ในลักษณะล้มตะแคงคว่ำอยู่ที่พื้นถนน อาสาสมัครจึงทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ผู้ได้รับบาดเจ็บ และนำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเจริญกรุงอย่างเร่งด่วนในเวลาต่อมา
ภรรยาผู้ได้รับบาดเจ็บเล่าเหตุการณ์
จากการสอบถาม นางสาวเสาวลักษ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ภรรยาของผู้บาดเจ็บ เล่าว่า ตนกับสามีขับรถไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน ขณะขับรถมาที่ถนนประชาอุทิศ มีจักรยานยนต์อีกคันขับเข้ามาขนาบข้างและตะโกนด่าสามีว่า “xวย ขับรถอะไรวะ” เมื่อหันไปมองจึงรู้ว่า คนขับรถคันดังกล่าวเป็นคู่อริที่เคยมีเรื่องกันมาก่อน
จากนั้นคู่อริและสามีก็ขับไล่บี้กันมาตามถนน โดยตนเองและลูกสาวก็ยังนั่งซ้อนจักรยานยนต์มาด้วย กระทั่งถึงบริเวณจุดยูเทิร์นรถ สามีของตนก็เสียหลักทำให้รถล้ม จู่ๆก็มีเสียงคล้ายปืนดังขึ้น ก่อนที่ตนเองจะเห็นว่าสามีได้รับบาดเจ็บที่ขา มีเลือดออกเป็นจำนวนมาก ขณะที่คู่กรณีเมื่อเห็นว่ารถของตนและสามีล้มก็จอดและทำทีปรี่จะเข้ามาทำร้ายซ้ำ ตนจึงพยายามห้าม และขอร้องไม่ให้คู่กรณีทำร้ายสามี เพราะเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด และได้นำอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ที่พบในจุดเกิดเหตุ พร้อมรถจักรยานยนต์ของผู้ได้รับบาดเจ็บไปตรวจสอบที่ สน.ทุ่งครุ เนื่องจากผู้บาดเจ็บให้การยอมรับว่าปืนดังกล่าวเป็นของตนเอง ที่พกติดตัวไว้ในกระเป๋ากางเกง จึงคาดว่าสาเหตุที่ภรรยาของคนเจ็บได้ยินเสียงปืนดัง ขณะที่จักรยายนต์เสียหลักล้ม อาจมาจากการลั่นไกของปืนในกระเป๋ากางเกง จนเป็นเหตุให้นายพงศ์สิทธ์ ได้รับบาดเจ็บ
โดยหลังจากนี้ หากผู้บาดเจ็บอาการมีอาการดีขึ้นหรือพอที่จะให้การได้ จะเรียกมาสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมทั้งจะเร่งติดตามคู่กรณีมาสอบถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย เพื่อที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
