เปิดฉบับเต็ม กฎพระทำผิดร้ายแรง สละสมณเพศ กฏมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการให้ พระภิกษุสละสมณเพศ ปาราชิก ใน 10 วัน
ข่าวโซเชียล กรณี กฎพระทำผิดร้ายแรง สละสมณเพศ กฏมหาเถรสมาคม เพจสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเผยแพร่เอกสารการลงนามของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเภรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ โดยระบุข้อความว่า “ที่ปรึกษามหาเถรสมาคม (ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ) รับสนองพระบัญชาเจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ตามที่โปรดให้เข้าชี้แจงในการนำร่างกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการลงนิคหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ…. และร่างกฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ…. เสนอมหาเถรสมาคมพิจารณา”
“จากปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากความประพฤตินอกพระวินัยของพระภิกษุจำนวนหนึ่งตามที่เป็นข่าวในขณะนี้ ในวันนี้ที่ประชุมมหาเถรสมาคม ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ได้มีมติเห็นชอบในร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการลงนิคหกรรม (คือการวินิจฉัยตัดสินโทษพระภิกษุที่กระทำผิด) ฉบับหนึ่ง และว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งกฎมหาเถรสมาคมทั้งสองฉบับมีเนื้อหาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน”

ฉบับเต็ม กฎพระทำผิดร้ายแรง สละสมณเพศ
1. กฎทั้งสองฉบับบัญญัติขึ้นนานปีมากแล้ว คือตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ และ ๒๕๓๘ การกล่าวหาอธิกรณ์คือข้อกล่าวหาว่าพระภิกษุกระทำผิดพระวินัย อาศัยพยานหลักฐานในยุคนั้น คือพยานบุคคลและพยานเอกสารเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดฐานเสพเมถุนธรรม ที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุด้วยเหตุที่เรียกว่าปาราชิกนั้น ยากต่อการหาพยานหลักฐานที่แน่ชัด ซ้ำยังกำหนดกระบวนการพิจารณาให้มีการพิจารณาชั้นต้น อุทธรณ์ และฎีกาด้วย ทำให้กว่าที่จะปรากฏผลสุดท้ายว่าเป็นเช่นไรต้องใช้เวลานานแรมปี หรือหลายปี
2. เนื่องจากปัจจุบันนี้ พยานหลักฐานที่เป็นไปตามยุคสมัยเช่น คลิปวิดีโอ การตรวจสอบข้อมูลจากการสนทนาทางโทรศัพท์ ฯลฯ เป็นข้อมูลที่ไม่ยากเกินกว่าที่จะเข้าถึงได้ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นพยานหลักฐานเหล่านั้นมิได้สร้างขึ้นเพื่อกลั่นแกล้งรังแกผู้หนึ่งผู้ใด พยานหลักฐานเหล่านั้นย่อมมีความชัดเจนเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อชี้ขาดอธิกรณ์ได้โดยไม่ชักช้า เป็นเวลาสมควรอย่างยิ่งที่จะมีการแก้ไขกฎมหาเถรสมาคมในเรื่องนี้
3. เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ทรงเอาพระทัยใส่ในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ทรงแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อกลั่นกรองยกร่างกฎมหาเถรสมาคม ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมแก่กรณีขึ้นคณะหนึ่ง และในวันนี้เองได้มีพระวินิจฉัยเห็นชอบ ในร่างกฎมหาเถรสมาคมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่คณะทำงานนำขึ้นถวาย และมีพระบัญชาให้นำเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณา
4. การแก้ไขกฎมหาเถรสมาคมทั้งสองฉบับในวันนี้ ยังคงรักษาหลักการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ซึ่งสอดคล้องกับพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา ที่กำหนดให้การวินิจฉัยอธิกรณ์และการลงนิคหกรรมเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ดำเนินการ ไม่ใช่ภาระธุระที่ฆราวาสหรือข้าราชการจะไปเป็นผู้ชี้ขาด หากแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเอื้อเฟื้อสนับสนุนในเรื่องพยานหลักฐานและการทำงานของคณะสงฆ์
5. สาระสำคัญที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมในวันนี้คือ หากปรากฏหลักฐานที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานที่ได้มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ดี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้รับมาจากแหล่งอื่นใดก็ดี ว่ามีภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง กระทำความผิดถึงปาราชิก หรือแม้ไม่ถึงปาราชิก เช่น ความผิดในระดับสังฆาทิเสส แต่เกิดผลความเสียหายร้ายแรงแก่คณะสงฆ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องนำเสนอเรื่องนั้นพร้อมพยานหลักฐานเพื่อให้ผู้มีอำนาจพิจารณาชี้ขาด
6. ในกรณีพระภิกษุทั่วไปกระทำผิด เป็นหน้าที่และอำนาจของเจ้าคณะภาคเป็นผู้ตัดสิน ถ้าเป็นกรณีพระสังฆาธิการ คือเป็นพระภิกษุผู้มีตำแหน่งในทางปกครอง เป็นหน้าที่และอำนาจของเจ้าคณะใหญ่เป็นผู้ตัดสิน ถ้าเป็นเรื่องสำคัญคือผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเป็นเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ หรือเป็นพระราชาคณะ เป็นหน้าที่และอำนาจของมหาเถรสมาคมเป็นผู้พิจารณา
7. การพิจารณาอธิกรณ์เรื่องปาราชิก หรือมีความร้ายแรง ตามที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนดังที่ว่ามาข้างต้น ผู้มีหน้าที่และอำนาจต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๐ วัน
8. เมื่อมีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้กระทำผิด ต้องสละสมณเพศแล้ว แต่ผู้นั้นยังดื้อดึงไม่ปฏิบัติตาม ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานขอกำลังและอารักขาจากฝ่ายบ้านเมืองเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งนั้น
9. ร่างกฎมหาเถรสมาคมสองฉบับที่ได้รับความเห็นชอบแล้วในวันนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะได้นำขึ้นถวายเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเพื่อทรงลงพระนาม และนำไปประกาศในหนังสือแถลงการคณะสงฆ์ โดยมีผลบังคับใช้ในวันถัดจากลงประกาศในแถลงการคณะสงฆ์
10. การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคมทั้งสองฉบับนี้ จะเป็นผลให้การพิจารณาอธิกรณ์และลงนิคหกรรมในอาบัติร้ายแรงปรากฏผลโดยเร็ว“
ข่าวที่น่าสนใจ
- คืบคดีวัดม่วง เงิน-ทองล่องหน 22 ล้านบาท ส่อหายทิพย์ พบพิรุธเคยเทขายทอง
- โมจิแม่กุหลาบ แจงดรามาโยง พระดังนครสวรรค์ ลั่นเสียชื่อฟ้องกลับแน่
- ปกปฏิทินคำชะโนด สิงหาคม เลขเด็ด 3 ตัว 2 ตัว หวยออกวันศุกร์ 1/8/68
สรุปใจความ
1. กฎเก่าล่าช้า: กฎมหาเถรสมาคมเดิมออกมานาน (พ.ศ. 2521 และ 2538) ใช้เวลาพิจารณาคดีพระนานมาก เพราะอาศัยพยานบุคคลและเอกสารที่หายาก โดยเฉพาะในคดีอาบัติปาราชิก (ผิดร้ายแรงถึงขั้นพ้นจากความเป็นพระ)
2. เทคโนโลยีใหม่ใช้เป็นหลักฐานได้: ปัจจุบันมีหลักฐานทันสมัย เช่น คลิปเสียง คลิปวิดีโอ ข้อมูลโทรศัพท์ ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาอธิกรณ์ได้รวดเร็วขึ้น หากพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อกลั่นแกล้ง
3. สมเด็จพระสังฆราชทรงให้ความสำคัญ: ได้ทรงแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมายกร่างกฎแก้ไขเพิ่มเติม และมีพระวินิจฉัยเห็นชอบกับร่างดังกล่าวแล้ว พร้อมให้นำเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม
4. ยังยึดหลักสงฆ์พิจารณากันเอง: การวินิจฉัยโทษพระยังอยู่ในอำนาจคณะสงฆ์ ไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาสหรือข้าราชการ แต่รัฐควรสนับสนุนด้านข้อมูลและหลักฐาน
5. เพิ่มการใช้หลักฐานจากหน่วยงานรัฐ: หากมีหลักฐานชัดจากตำรวจหรือหน่วยงานอื่นว่า พระรูปใดกระทำผิดร้ายแรง (เช่น ปาราชิกหรือสังฆาทิเสส) และเกิดความเสียหายแก่สงฆ์ ต้องส่งเรื่องให้พิจารณาทันที
6. แยกอำนาจตัดสินตามตำแหน่งพระ:
-พระทั่วไป → เจ้าคณะภาคพิจารณา
-พระมีตำแหน่ง (สังฆาธิการ) → เจ้าคณะใหญ่พิจารณา
-เจ้าคณะระดับสูง (จังหวัด, ภาค, พระราชาคณะ) → มหาเถรสมาคมพิจารณา
7. ต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 10 วัน: คดีที่มีหลักฐานชัดเจน เช่น ปาราชิก ต้องดำเนินการให้เสร็จภายในสิบวัน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและยุติธรรม
8. ถ้ายังไม่สึก ต้องให้รัฐช่วยบังคับ: หากพระที่ถูกตัดสินให้สละสมณเพศยังฝืนคำวินิจฉัย ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขอความช่วยเหลือจากฝ่ายบ้านเมืองเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตาม
9. ร่างกฎจะประกาศใช้อย่างเป็นทางการ: หลังจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชลงนามแล้ว จะประกาศในแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ และมีผลบังคับใช้ในวันถัดไป
10. ช่วยให้กระบวนการรวดเร็วขึ้น: การแก้ไขกฎทั้งสองฉบับนี้ จะทำให้การพิจารณาคดีพระที่กระทำผิดร้ายแรง มีความรวดเร็ว โปร่งใส และเกิดผลชัดเจนมากขึ้น