หลังจากที่เมื่อวานนี้เราได้ฟังเรื่องราวชีวิตเหมือนเกิดใหม่ ของคุณสุทธิดาหญิงสาวสาวัย 22 ที่คิดว่าตัวเองติดเชื้อHIVมานนถึง 10 ปี เมื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคอีสานได้ตรวจพบเชื้อ HIV ตอนเธออายุ 8 ปี และก็ได้จ่ายยาต้านไวรัสให้เธอกินตลอดเป็นเวลาเกือบ 10 ปี จนกระทั่งเมื่อเธออายุ 18 ปี เธอก็เพิ่งจะมารู้ความจริงว่า เธอไม่ได้ติดเชื้อ HIV วันนี้ เราจะมาย้อนดูเรื่องราวกันอีกครั้ง ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันเริ่มมาจากตรงไหน
ปี 2545 น้องนุ๊ก เด็กหญิงวัย 8 ปี มีอาการป่วยเป็นไข้ ป้าที่เป็นผู้เลี้ยงดูจึงพาเธอไปหาหมอที่โรงพยาบาล แห่งหนึ่งในจังหวัด การพบหมอครั้งนี้นอจากต้องเล่ารายละเอียดของอาการแล้ว ยังต้องเล่าประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวด้วย ซึ่งก็รวมไปถึงประวัติของคุณพ่อที่เป็นผู้ติดเชื้อHIVและเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนคุณแม่ก็ไม่แน่ชัดว่าติดเชื้อ HIV หรือไม่ ทำให้ในครั้งนั้นมีการตรวจหาเชื้อHIV ด้วย และคุณหมอก็ได้มาบอกกับคุณป้าของน้องว่า น้องนุ๊กติดเชื้อ HIV ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้มีเอกสารหลักฐานอะไรมอบให้อย่างเป็นทางการ ด้วยความที่ป้าเป็นคนต่างจังหวัดและน้องนุ๊กก็ยังเด็กมาก คุณหมอว่าอย่างไรก็เชื่อเช่นนั้น
ตั้งแต่นั้นมา จากนั้นเธอก็ได้รับยาต้านไวรัสมามาตลอด โดยทุกๆ 6 เดือน จะมีการตรวจเช็คCD4คือค่าของเม็ดเลือดขาว กับไวรัสโหลด
จนกระทั่งปี 2554 น้องนุ๊กมีอายุ 17 ปี ได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ตอนนั้นเธอมีแฟน ซึ่งก็ได้บอกกับแฟนของเธอว่าเธอติดเชื้อHIV และมีการป้องกันมาตลอด จนวันหนึ่งเกิดพลาดจนตั้งครรภ์ขึ้นมา ขณะนั้นประมาณ ปี 2555 เธอก็ได้ไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ ทางโรงพยาบาลก็ได้มีการโอนย้ายข้อมูลของคนไข้จากโรงพยาบาลเดิมที่จังหวัดร้อยเอ็ดมาที่โรงพยาบาลใหม่ และก็พบข้อมูลว่าเธอได้รับยาต้านไวรัส HIV ก็ได้มีการพูดคุยเรื่องการรักษาลูกในท้องของเธอว่าจะต้องทำอย่างไรให้ลูกไม่ได้รับเชื้อ HIV และคุณหมอที่นี่ก็เลยขอให้เธอตรวจเช็ดร่างกาย และมีผลปรากฎออกมาว่า ผลเลือดของเธอเป็น Negative หมายึงว่าเธอไม่ได้ติดเชื้อ HIV
เธอก็เองก็ปรนะหลาดใจ และเพื่อให้เกิดความแน่ใจ คุณหมอก็เลยส่งไปตรวจที่ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย อีกครั้ง และก็เช่นกัน มีการตรวจเลือด ตรวจ DNA ผลก็ออกมาว่า negative เธอก็เลยเลิกกินยาต้านไวรัสตั้งแต่นั้นมา สรุปที่ผ่านมานั้นที่กินยามาตลอดนั้นคืออะไร ซึ่งจะเห็นได้ว่าความผิดพลาดน่าจะเริ่มตั้งแต่โรงพยาบาลในจังหวัดร้อยเอ็ดที่ตรวจพบว่าเธอติดเชื้อ HIV แต่อีกประเด็นหนึ่งคือเอกสารที่น้องนุ๊กได้มานั้น มีเพียงเอกสารการจ่ายยาตั้งแต่ปี 2551-2554 เท่านั้น เอกสารการตรวจก่อนหน้านั้น ทางโรงพยาบาลได้อ้างว่าตอนนั้นระบบคอมพิวเตอร์มีปัญหา รวมถึงหากเอกสารมีอายุเกิน 10 ปี จะมีการทำลายทั้งหมด แต่ข้อสังเกตหนึ่งก็คือนอกเหนือจากความผิดพลาดในการวินิจฉัยครั้งแรกแล้ว น่าจะมีความผิดพลาดต่อมาในการตรวจCD4เพื่อหาจำนวนเม็ดเลือดขาว เพราะในเอกสารระบุว่าจำนวนเม็ดเลือดขาวในการตรวจแต่ละครั้งมีมาก จนไม่น่าเป็นผู้ติดเชื้อเอชวี แต่นั่นกลับไม่ได้ถูกนำมาพิจารณา แพทย์ยังคงให้ยาเธออย่างต่อเนื่อง
โดยทางน้องนุ๊กก็ได้บอกกับทีมข่าวของเรามาด้วยว่า วันที่ 1 มิถุนายนนี้ เจอกันที่สภากาชาดไทยอย่างแน่นอน เพราะเธออยากให้โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด ที่วินิจฉัยว่าเธอติดเชื้อ HIV มาตั้งแต่เด็ก ออกมาแสดงความรับผิดชอบ ต่อชีวิต สังคมในช่วงวัยเด็กของเธอ ซึ่งก็มีหลักฐานเป็นคลิปเสียงเด็ดที่อ้างว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งนั้น ได้โทรมาถามไถ่อาการ ประกอบกับโทรมาขอโทษทั้งน้ำตา หลังจากที่เป็นข่าว แต่วันนี้เราได้เสียงบางช่วงบางตอนมา ซึ่งน้องนุ๊กบอกว่าคนในเสียงนี้ล่ะค่ะ ที่เป็นคนโทรศัพท์มาขอโทษ ที่ทำให้เธอต้องเสียโอกาสหลายๆอย่างในชีวิตไป
ทีมข่าวไบรท์นิวส์สอบถามไปที่คุณนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ถึงประเด็นนี้ โดยได้รับคำตอบว่า จากข้อมูลที่ได้จากน้องนุ๊ก และข้อมูลจากศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ก็พบว่าตรงกันเธอไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อ รวมถึงข้อมูลจากการรักษาที่ผ่านมาก็เป็นไปได้ว่า ทางโรงพยาบาลแรกอาจวินิจฉัยผิดพลาด ก็ต้องรอทางโรงพยาบาลแห่งนั้นออกมาชี้แจงความจริง ว่าผิดพลาดได้อย่างไร ส่วนที่ว่า จะมีอันตรายหรือไม่ที่เธอต้องกินยาต้านไวรัสมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยที่มีได้ติดเชื้อHIV ซึ่งกรณีนี้ ยาที่กินเข้าไปอาจจะไปสะสมและกระทบต่ออวัยวะภายในจำพวกตับ ไต ให้ทำงานหนักมากขึ้น แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่อย่างไรก็ตามสิ่งเดียวที่ต้องรอคือรอให้ทางโรงพยาบาลเดิมออกมาชี้แจงความจริงโดยเร็ว