นับเป็นครั้งแรกที่เกิดปรากฎการณ์ สภาล่ม ตั้งแต่เปิดสมัยประชุมสภาขึ้นมา แต่ไม่ได้เกิดสภาล่มเพียงครั้งเดียว กลับเกิดสภาล่มถึง 2 ครั้งติดต่อกัน
สืบเนื่องจากญัตติด่วน ของนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เรื่องตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ เพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศ และคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และการใช้อำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา 44
รวมถึงญัตติในเรื่องเดียวกันของ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ก็เห็นดีเห็นความด้วย
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อโละมรดกบาปของคสช. ที่เป็นเผด็จการฝังในกฎหมาย และเพื่อความเป็นประชาธิปไตยตามที่หลายๆพรรคกล่าวอ้าง
หากย้อนเหตุการณ์ความวุ่นวายในสภา ต้องขอย้อนไปในวันที่ 27 พ.ย. ที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำหน้าที่ประธานในการประชุมสภา ได้มีการพิจารณาญัตติดังกล่าว แต่เมื่อมีการลงคะแนนเสียงพบว่าฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวต ด้วยคะแนนเสียง 236 ต่อ 231 คะแนน งดออกเสียง 2 และไม่ลงคะแนน 1
จนนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล เสนอให้นับคะแนนใหม่ทันที ท่ามกลางการประท้วงของส.ส.ฝ่ายค้านอย่างหนัก
ต่อมานายชวน ยืนยันให้นับคะแนนใหม่ตามข้อบังคับการประชุมที่ 85 กรณีที่มีคะแนนไม่เกิน 25 เสียง โดยให้นับใหม่ด้วยการขานชื่อ
ขณะที่ฝ่ายค้านตีโพยตีพายไม่ต้องการให้มีการนับคะแนนใหม่ ตามที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามจะทำ เมื่อมีการขอนับคะแนนใหม่ครั้งแรก ฝ่ายค้านเดินวอล์กเอ้าต์จากห้องประชุมสภา ขณะที่องค์ประชุมสภามีแค่ 92 เสียง ถือว่าองค์ประชุมไม่ครบ ทั้งๆที่มีส.ส.อยู่ในห้องประชุมมากกว่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น ในวันที่ 28 พ.ย. นายชวน ได้ทำหน้าที่ประธานสภาอีกครั้ง และเดินหน้าขอนับคะแนนใหม่เป็นครั้งที่สอง ส่วนฝ่ายค้าานคงยืนยันคำเดิมคือไม่ร่วมกระบวนการ แต่ด้วยองค์ประชุมไม่ครบมีเพียง 240 เสียง จากเสียงรัฐบาลที่มีทั้งหมด 254 เสียง ซึ่งสามารถผ่านการประชุมครั้งนี้ไปได้ หากมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง คือ 250 เสียง เพราะมีส.ส.ทั้งสภารวม 499 คน
แต่เหตุใดฝ่ายรัฐบาลถึงแพ้โหวตในครั้งนี้ เมื่อลองพิจารณาข้อมูลพบว่า มีส.ส.ประชาธิปัตย์ 6 คน โหวตให้ตั้งกมธ.ร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน ส่วนที่งดออกเสียง 2 คนนั้นคือประธานกับรองประธานสภา
นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า นี่เป็นจุดบ่งบอกว่ารัฐบาลอย่านิ่งนอนใจ เพราะเสียงในสภาทุกเสียงย่อมความสำคัญ และพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลเองที่เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลนั้น ก็ต่างคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและนโยบายที่ได้หาเสียงไว้เป็นที่ตั้ง เรื่องใดที่เห็นว่าไม่ถูกต้องหรือเป็นผลเสียแก่พรรคพลังประชารัฐ หรือ ในตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ได้มีผลประโยชน์แก่พรรคร่วมรัฐบาลมากนัก
นี่ก็เป็นเกมการเมืองอีกหนึ่งเกมที่ฝ่ายค้านกำลังพยายามทำอยู่ เพื่อเป็นการกดดันฝ่ายรัฐบาล แต่ฝ่ายรัฐบาลเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน โดยพยายามใช้ข้อบังคับการประชุมเพื่อนับคะแนนเสียงใหม่ เนื่องจากหวังว่าจะสามารถกล่อมส.ส.ประชาธิปัตย์ ให้มีความคิดในทิศทางเดียวกับฝ่ายรัฐบาลบ้าง
ซึ่งจากการแถลงข่าวจากส.ส.ฝั่งประชาธิปัตย์ทั้ง 6 คน ก็ยืนยันว่า ตนเองไม่ใช่งูเห่าสีฟ้า และไม่ได้เป็นกสนโหวตสวน เพียงแค่เห็นด้วยกับฝ่ายค้าน เพราะญัตติที่เสนอให้มีการตรวจสอบการใช้ ม.44 ของคสช.นั้น พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ก็เสนอเช่นกัน ถ้าให้โหวตใหม่ ก็ยังคงยืนยันเจตนารมณ์เดิม คือ อยู่ข้างเดียวกับฝ่ายค้าน แบบนี้ดูท่าทางแล้วต้องกลับไปดูส.ส.จากพรรครัฐบาลเสียเองว่ามาครบองค์ประชุมหรือไม่
ถึงขนาดนายวิรัช ประธานวิปฝ่ายค้าน ต้องออกโรงเสียเอง เพื่อขอเสียของฝ่ายค้าน แต่การกระทำดังกล่าวก็ไม่เป็นผลอย่างที่ตั้งใจไว้
ดังนั้นจึงถือว่าเป็บบทเรียนแรก ที่พิสูจน์ความเก๋าเกมทางการเมือง เพราะเหตุการณ์นี้แม้เกิดขึ้นครั้งแรกในสภาชุดนี้ แต่ในอดีตเคยเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว ตามที่นายชวนระบุไว้ จากนีฝ่ายรัฐบาลจะทำอย่างไร เพราะหากการประชุมสภาในวันที่ 4 ธ.ค. นี้ หากสภายังล่มอีกครั้ง ดูทรงแล้ววาระการประชุมเพื่อตั้งกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะเข้าสู่วาระการประชุมเป็นวาระต่อไปคงอาจจะยึดเยื้อ
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ว่าผลการโหวตครั้งที่สอง อาจทำให้รัฐบาลชนะฝ่ายค้านได้ เนื่องจากตั้งกมธ.ไม่สำเร็จ แต่โดยลึกๆแล้วได้เห็นรอยร้ายภายในรัฐบาลไม่น้อย