ช่วงนี้พรรค ประชาธิปัตย์ อยู่ในสถานการณ์เรียกได้ว่า ‘กลืนไม่เข้าคายไม่ออก’ หลังเสียมือดีสำคัญของพรรคไปหลายต่อหลายคน จากพรรคขนาดใหญ่ที่มีเสถียรภาพพรรคหนึ่ง กลับกลายเป็นพรรคขนาดกลางที่เป็นส่วนหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลในชุดนี้ บ่งบอกให้เห็นภาพว่า เอกภาพภายในพรรคกำลังลดถอยลงไป
หากย้อนกลับไปในช่วงการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รอบแรก เพื่อเตรียมการเลือกตั้ง ที่มีแคนดิเดตชิงชัยถึง 3 คน ประกอบไปด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม และนายอลงกรณ์ พลบุตร จนผลปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ ได้เป็นหัวหน้าพรรคอีกสมัย
ต่อมามีการลงมติเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ หลังนายอภิสิทธิ์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังแพ้การเลือกตั้ง โดยมีแคนดิเดตชิงชัยถึง 4 คน ประกอบไปด้วย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นายกรณ์ จาติกวณิช นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จนผลปรากฏว่า นายจุรินทร์ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคนั้น
จากเหตุการณ์ข้างต้น จะเห็นว่ามีบุคคลที่เป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรค ทยอยลาออกอยู่หลายคน เริ่มต้นจากนายแพทย์วรงค์ ที่หันหัวเลี้ยวไปซบ ‘ลุงกำนัน’ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ต่อมา นายพีระพันธุ์ ลาออกจากสมาชิกพรรค ทิ้งเก้าอี้ส.ส.บัญชีรายชื่อ หันซบอก
บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับตำแหน่งปรึกษานายกรัฐมนตรี แถมพ่วงตำแหน่งประธานกมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
จนล่าสุด นายกรณ์ ร่ำไห้หลั่งน้ำตาประกาศลาออกจากสมาชิกพรรค ภายในงานเลี้ยงปีใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเฉพาะกลุ่มส.ส.ที่ใกล้ชิดกับนายอภิสิทธิ์ เข้าร่วมงานนี้ พร้อมทั้งร้องเพลง ‘รักเธอเสมอ’ ท่ามกลางเพื่อนส.ส.หลายคน เอ่ยปากว่า ‘พรรคเราเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร’ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เองก็ได้เข้าไปสวมกอดเพื่อให้กำลังใจนายกรณ์ด้วย
และดูเหมือนว่ากระแสข่าวนายกรณ์ ตั้งพรรคเป็นของตัวเองจะเป็นเรื่องจริง เพราะหลังจากไม่กี่วันถัดมา นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ก็ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคเช่นกัน แต่ได้ทิ้งความหมายลึก ๆ ไว้ว่า ‘ผมกับพี่กรณ์ตกลงกันว่า ได้เวลาลงมือทำ ถึงไหนถึงกันสร้างการเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณธรรมและอยากชวนทุกคนมาร่วมทางเดินลุยไปทำในสิ่งที่เชื่อกัน’
ขณะที่ นายกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเปิดใจถึงการตัดสินใจครั้งนี้ตอนหนึ่งว่า ‘ผมมีความฝัน ที่อยากจะสร้างการเมืองแห่งความเปลี่ยนแปลง การเมืองที่กล้าคิด กล้าทำ มีความรอบคอบแต่ไร้ความกลัว มีความเด็ดเดี่ยวแต่มีคุณธรรม เป็นการเมืองที่จะชวนผู้คนในสังคมไทยที่มีศักยภาพ มาร่วมกันออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน’
ประกอบกับล่าสุด ได้ประกาศให้บรรดาโซเชียลมีเดียร่วมกันตั้งชื่อพรรค โดยมี DNA ของความเป็นพรรค คือ
1-Startup ต้องกล้าคิด กล้าลุย พร้อมเปลี่ยนแปลง แต่รอบคอบ
2-ปฏิบัตินิยม มุ่งทำงาน ลงมือจริง พูดแต่ในสิ่งที่จะทำ
3-Global Mindset ไทยเข้าใจ-ทัดเทียม-เท่าทันโลก
ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการแบ่งก๊กแบ่งพวกภายในพรรคนั้น ก็มีอดีตส.ส.ท่านหนึ่งที่เพิ่งลาออกสด ๆ ร้อน ๆ อย่างนายฐนโรจน์ โรจนกุลเสฏฐ์ ระบุว่า ‘ประชาธิปัตย์มีปัญหาทุกครั้งในการเลือกหัวหน้าพรรค ที่เป็นประชาธิปไตยเกิน เลยทำให้แตกกันเละเทะ แสดงว่าวิธีนี้ไม่ใช่ ดังนั้นคงพูดคุยกันดีกว่า เป็นประชาธิปไตยแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย และการบริหารของพรรคก็มีข้อบกพร่องบางอย่างอยู่ เหมือนรถที่มีปัญหาเรื่องเบรก เขาก็แก้ไม่ได้ เป็นเส้นผมบังภูเขา พรรคก็เหมือนกันมีปัญหาแต่แก้ไม่ได้ เหมือนเส้นผมบังภูเขา’
แถมยังมีกระแสที่นายกรณ์ ถูกลดบทบาทภายในพรรค เพราะก่อนหน้านี้นายกรณ์ เคยเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค แต่กลับให้นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแทน ซึ่งในเรื่องนี้นายจุรินทร์ ยืนยันว่าไม่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ แต่ต้องการให้คนรุ่นใหม่มาช่วยเสริมทีมเศรษฐกิจทันสมัย
แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ ทำไมบุคคลสำคัญของพรรคถึงได้เดินออกมาเช่นนี้ แถมยังเป็นบุคคลสำคัญของพรรค และยังไม่นับรายเล็กรายน้อยที่เดินจากไปก่อนหน้านี้หลายราย ซึ่งนายชวน หลีกภัย ในฐานะประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ที่เป็นบุคคลที่สมาชิกหลายคนให้ความนับถือนั้น ก็ยอมรับเสียดายที่บุคคลที่มีความรู้ความสามารถของพรรคที่ตัดสินใจลาออก แต่ก็เคารพการตัดสินใจของทุกคน
ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า 73 ปี แต่อุดมการณ์ที่เป็นพรรคเสรีนิยมอนุรักษ์ และไม่สนับสนุนระบบเผด็จการของรัฐบาลใด ๆ ได้แปรเปลี่ยนไปบ้างแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ ประกาศถอดตัวจากการเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค แต่ยังคงเป็นสมาชิกพรรคอยู่ เพราะตลอดที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์พูดย้ำอยู่เสมอว่าไม่สนับสนุนรัฐบาลเผด็จการ และไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
เมื่อเทียบกับช่วงที่นายชวน เป็นหัวหน้าพรรค ยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่มีเอกภาพสูง จนทำให้นายชวน เป็นนายกรัฐมนตรีนานถึง 2 สมัย และไม่เกิดเหตุการณ์แตกกระสานซ่านเซ็น จนไม่เป็นชิ้นเป็นอันแบบนี้ หลายครั้งก็มีสาเหตุหลักมาจากการหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมายืนในจุดเดิมได้หรือไม่นั้น ไม่มีใครบอกได้
เลือดที่หลั่งไหลจะหยุดแผลนี้ได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการนำทัพของนายจุรินทร์ หัวหน้าพรรคคนที่ 8 ไม่เช่นนั้นอีกไม่นานจะต้องมีคนอื่นเดินออกมาอีกแน่นอน