เศรษฐกิจโลก จะหดตัว 3% ในปีนี้เนื่องจากประเทศต่างๆทั่วโลกหดตัวลงอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ที่เกิดในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป ในปี ค.ศ. 1929 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หรือ Great Depression ตัวแทนของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าว
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ อธิบายว่าการลดลงทั่วโลกนั้นเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยกล่าวว่าการระบาดใหญ่ของไวรัสได้ทำให้โลกตกอยู่ในภาวะวิกฤติที่ไม่เคยมีมาก่อน
IMF เสริมว่าการระบาดเป็นเวลานานจะทดสอบความสามารถของรัฐบาลและธนาคารกลางในการควบคุมวิกฤต โดย Gita Gopinath หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF กล่าวว่าวิกฤติดังกล่าวอาจทำให้ GDP ของโลก ลดลง 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 2 ปีข้างหน้า
‘Great Lockdown’
แม้จะยกย่องการตอบสนองที่รวดเร็วในประเทศขนาดใหญ่เช่นอังกฤษเยอรมันญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา IMF ได้กล่าวว่าไม่มีประเทศใดที่จะรอดพ้นจากการชะลอตัว โดยคาดว่าการเติบโตทั่วโลกจะฟื้นตัวเป็น 5.8% ในปีหน้าหากการระบาดของไวรัสเริ่มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2020
Ms Gopinath กล่าวว่า “Great Lockdown” สร้าง “สถานการณ์ความเป็นจริงที่น่ากลัว” สำหรับผู้กำหนดนโยบายซึ่งต้องเผชิญกับ “ความไม่แน่นอนอย่างรุนแรงเกี่ยวกับระยะเวลาและความรุนแรงของการสะเทือน”
ความเจ็บปวดทั่วโลก
Ms Gopinath กล่าวว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่ทั้งเศรษฐกิจขั้นสูงและประเทศกำลังพัฒนาคาดว่าจะตกอยู่ในภาวะถดถอยพร้อมกัน
ด้าน IMF เตือนว่าการเติบโตในประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าจะไม่กลับไปสู่จุดสูงสุดก่อนเกิดไวรัสจนถึงปี 2022 เป็นอย่างน้อย
เศรษฐกิจสหรัฐคาดว่าจะหดตัว 5.9% ในปีนี้ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1946 และการว่างงานในสหรัฐคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10.4% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนคาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.2% ในปีนี้ซึ่งจะเป็นการเติบโตที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 ส่วนออสเตรเลียคาดว่าจะประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1991