เสียบบัตรแทนกัน | ผ่านปีใหม่ไปไม่กี่สัปดาห์ การเมืองยังคงร้อนระอุอยู่เนือง ๆ มีเรื่องให้ต้องติดตามอยู่ไม่เว้นวัน พอจบเรื่องนี้ก็มาต่อเรื่องใหม่อีกเรื่อง
ซึ่งกระแสการเมืองสัปดาห์นี้หนีไม่คงกับเรื่องที่สืบเนื่องจากร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563
แม้ว่าจะผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาไปแล้ว แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น ทั้ง ๆ ที่หลายคนมองว่า ในที่สุดรัฐบาลก็ผ่านมรสุมแรกไปด้วยดีแล้ว
วันดีคืนดี นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตส.ส.พัทลุงหลายสมัย ออกมาแฉขุดถึงพฤติกรรมของส.ส.ในสภา โดยพุ่งเน้นไปที่พรรคภูมิใจ ซึ่งเป็นพรรคที่สามารถทลายป้อมปราการภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ เอาชนะการเลือกตั้งส.ส.ครั้งที่ผ่านมา
อันดับแรก นายนิพิฏฐ์ พุ่งเป้าที่ไป นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย ที่เป็นเหมือนคู่แข่งคนสำคัญที่เขี่ยนายนิพิฏฐ์ตกกระป๋องในสนามการเลือกตั้ง ว่า ในการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณนั้น นายฉลอง อยู่ในงานวันเด็ก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า มีชื่อนายฉลอง ออกเสียงลงคะแนนในการประชุมสภาฯครั้งนี้หรือไม่ เพราะเกรงว่าจะมีการเสียบบัตรแทนให้กัน
เรื่องนี้ทำเอานายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ออกมาต่อว่านายนิพิฏฐ์ เป็นเหมือนสุนัขพันธุ์บูลด็อคที่กัดไม่ปล่อย เลยทำให้นายนิพิฏฐ์ ต้องมาแฉอีกรอบ คราวนี้จัดใหญ่จัดเต็ม เล่นงานพรรคภูมิใจไทยอีกระลอก
โดยพบข้อมูลเพิ่มเติมว่า นางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะแม่ทัพภาคใต้ของพรรค ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมสภาฯ และมีชื่อออกเสียงลงคะแนนได้อย่างไร เนื่องจากพบหลักฐานไม่ว่าจะเป็นบันทึกการเดินทางตม. รูปถ่ายทัวร์จีน ที่เป็นหลักฐานมัดแน่นว่า นางนาที เดินทางไปเมืองซานเหมินเซียะ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 11-15 มกราคม ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาที่มีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณหรือไม่
เล่นแฉแรงแบบนี้ ไม่เกรงใจพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลกันบ้างเลย แต่หลายฝ่ายก็วิเคราะห์กันว่า การกระทำของนายนิพิฏฐ์ เป็นเพราะเจ้าคิดเจ้าแค้นกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ หลังจากแย่งเก้าอี้ส.ส.พัทลุงมาจากมือ
เนื่องจากนายนิพิฏฐ์ เคยยื่นข้อร้องเรียนการทุจริตการเลือกตั้งส.ส. ในพื้นที่เขต 2 จังหวัดพัทลุง ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มานานแล้วกว่า 1 ปี ซึ่งขณะนี้คดีดังกล่าวก็ยังไม่มีความคืบหน้า
แต่เรื่องเสียบบัตรแทนกันมันไม่จบแค่นั้น ด้วยจิตวิญญาณวิชาชีพสื่อมวลชน ก็มีช่างภาพมือดีเก็บภาพสำคัญได้ ว่า มีส.ส.จากพรรคภูมิใจ และพรรคพลังประชารัฐ มีการกระทำเสียบบัตรแทนกันเกิดขึ้นอีก
งานนี้ผู้ต้องสงสัยปัดกันพัลวัน โดยนายฉลอง ยอมรับว่า ออกมาจากห้องประชุมจริง แต่รีบไปทำธุระสำคัญ จึงลืมเสียบบัตรคาไว้ แต่ไม่ทราบว่าใครหวังดีกดลงมติให้
ขณะที่ นางนาที ชี้แจงว่าวันดังกล่าวลาไปต่างประเทศ ส่วนกรณีของ ส.ส.ชายจากภูมิใจไทย ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
และ ส.ส.หญิงจากพรรคพลังประชารัฐ โดยน.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ หนึ่งใน ส.ส.ที่ร่วมปรากฎภาพ ยอมรับลงคะแนนแทนกันจริง แต่ยึดตามเจตนารมณ์ของเจ้าของบัตร เนื่องจากห้องประชุมสภาฯมีเครื่องลงคะแนนไม่เพียงพอต่อสมาชิก
เมื่อหลักฐานชัดขนาดนี้ ส่งผลให้ ‘เสี่ยหนู’ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เรียกแกนนำถกหาทางออก รวมถึง พรรคพลังประชารัฐ นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมพรรคทันที เพราะอาจมีผลกระทบต่อร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ถึงขั้นอาจทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณโมฆะได้
แต่ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองจากนี้คือ ร่างพ.ร.บ.ประมาณ ที่ได้ผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาไปแล้วนั้น จะสะดุดลงจนเข้าข่ายทำให้เป็นโมฆะหรือไม่ เพราะมันส่งผลกระทบวงกว้างต่อเศรษฐกิจประเทศ ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นที่ประชาชนจะต้องเผชิญกับชาตะกรรมของเศรษฐกิจไทยต่อไป
ต่อเรื่องนี้นายชวน ยืนยันว่า การเสียบบัตรแทนกันนั้นเป็นเรื่องที่ผิด ส่วนจะเข้าข่ายทำให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณโมฆะหรือไม่นั้น ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณา ขณะที่นายชวน ก็ได้ยื่นเรื่องนี้ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามที่ส.ส.ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เข้าชื่อนำเรื่องยื่นต่อประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่เป็นคนละประเด็นกัน
ซึ่งในเรื่องนี้ฝ่ายรัฐบาลยื่นตีความ 3 ประเด็น ได้แก่
- กระบวนการ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ขัดหรือแย้งกับหลักการการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 หรือไม่
- หากมีปัญหาจะมีปัญหาทั้งฉบับ หรือเฉพาะมาตราที่มีปัญหา
- จะดำเนินการในแต่ละกรณีต่อไปอย่างไร
ส่วนฝ่ายค้านยื่นตีความ ตามมาตรา 148 (1) ว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ตราขึ้นโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ต่างจากฝ่ายรัฐบาลที่ยื่นตีความใน มาตรา 120 ซึ่งเป็นเรื่องของการออกเสียงแทนกัน
นอกจากนี้ ยังมีการหยิบยกเทียบเคียงในสมัยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในคดีร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ว่า ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีส.ส.ใช้บัตรส.ส.อื่นลงคะแนนแทนกัน
ในเรื่องนี้ ‘เนติบริกร’ อย่างนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า กรณีการเสียบบัตร ไม่ว่าเสียบแทนกันหรือไม่ ถือเป็นการเสียหายร้ายแรง มีความผิด และมีโทษ แต่จะไม่เกิดผลกระทบน่ากลัวรุนแรงไม่ถึงขั้นวิบัติ และยอมรับว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบทำให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณเกิดความล่าช้าแน่นอน
แถมชี้ช่องทางออกไว้ 6-7 ข้อ แต่แย้มเพียงช่องทางเดียวว่า พ.ร.บ.งบประมาณ ในมาตรา 143 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้ชัดว่าหากพิจารณาไม่แล้วเสร็จใน 105 วัน ให้ถือว่าสภาฯเห็นชอบ ถ้ากฎหมายงบประมาณไม่ล็อกเรื่อง 105 วัน มันมีช่องทางคิดได้เหมือนกันว่าเอากลับไปโหวตใหม่ได้ พร้อมยกกรณีเสียบบัตรแทนกันในอดีต กับครั้งนี้ มีรายละเอียดแตกต่างกัน ย่อมมีโทษ และผลกระทบต่างกัน
ขณะเดียวกัน มีสัญญาณบวกแว่วๆมาว่า นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าจับเข่าพูดคุยกับ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เพื่อหาทางออกกรณีที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯอาจถูกตีความว่าโมฆะ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากนี้ต้องลุ้นว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยเรื่องนี้ออกมาในทิศทางใด แต่ดูเหมือนว่า ‘ลุงตู่’ ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่แน่ ถึงกับสั่งให้กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ หารือเพื่อทางออกในเรื่องนี้ เพราะงบประมาณที่จะใช้เดินหน้าประเทศต้องหยุดชะงักลง จากปัญหาของคนในพรรคร่วมรัฐบาลเสียเอง
หากจะออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การกู้เงิน คงเป็นหนทางสุดท้าย เพราะ ‘ลุงตู่’ ได้ออกตัวเบรกไว้ก่อน แม้ว่าตามหลักการจะสามารถกระทำได้ก็ตาม แต่มันคงไม่สง่าผ่าเผยเท่าที่ควร
ท้ายนี้ ไม่ว่าจะเรื่องเสียบบัตรแทนกัน เศรษฐกิจถดถอย ภัยแล้ง ไวรัสโคโรนา ฝุ่น PM2.5 ทำไมรู้สึกว่า รัฐบาลน่าจะถูกจองกฐินจากฝ่ายค้านหลายเรื่องอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
