ผู้เขียนไปบังเอิญเจอแฮชแท็ก #มกราทมิฬ ในทวิตเตอร์ ที่หลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ในเดือนมกราคมนี้เป็นเดือนที่มีแต่เรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเลิกการใช้ถุงพลาสติก, โจรปล้นทองลพบุรี, ฝุ่น PM 2.5, ยีราฟหายและตายในเวลาต่อมา, น้ำปะปาเค็ม, ไฟป่าออสเตรเลีย และปัญหาระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน เป็นต้น แต่วันนี้ขอหยิบยกเฉพาะเรื่องการเมืองที่น่าสนใจตลอดเดือนมกราคมนี้ก็แล้วกัน
แม้หลายคนจะบอกว่าเป็น #มกราทมิฬ แต่ผู้เขียนขอเติมว่า #การเมืองมกราทมิฬ และหากหยิบยกคำนี้มาใช้ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกแบบนั้น เพราะตลอดทั้งเดือนมกราคมก็มีปัญหารุมเร้าสารพัดในทางการเมืองอยู่มากมาย
ขอเริ่มต้นที่เหตุการณ์การจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง และเดินเชียร์ลุง ที่มีประชาชนรวมตัวกันเพื่อออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แม้ว่ากิจกรรมดังกล่าวจะผ่านไปได้ด้วยดีและไม่มีเหตุป่วนหรือความรุนแรงใดๆ แต่หลังจากนั้นก็มีเข้าโรงพักพบเจ้าหน้าที่ตำรวจกันบ้าง เพราะการจัดกิจกรรมของกลุ่มวิ่งไล่ลุง ไม่ได้ขออนุญาตการชุมนุม ซึ่งต่างจากที่กลุ่มเดินเชียร์ลุงได้ทำเรื่องขออนุญาตไว้แล้ว แถมการจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง พบว่ามีนักการเมืองจากพรรคอนาคตใหม่มาร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของส.ส.ในสภาฯ ก็มีการเข้านอกออกในกันพอสมควร ทั้งการยกเลิกการรวมกลุ่มของฝ่ายค้านอิสระ เพื่อตบเท้าเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งของนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพรรคไทยศรีวิไลย์ และนายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธรรมไทย
4 ส.ส. งูเห่าจากพรรคอนาคตใหม่ หลังจากถูกขับออกจากพรรค ก็ได้ตัดสินใจเข้าร่วมพรรคการเมืองใหม่กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคท้องถิ่นไทย แต่ก็ยังมีปัญหากันอยู่ว่า ส.ส.ทั้ง 4 คน อาจจะยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่โดยสมบูรณ์ เพราะในประชุมร่วมระหว่างกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคที่มีมติขับ 4 ส.ส.พรรค มีองค์ประชุมไม่ครบ ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่มีชัดเจนออกมาแต่อย่างใด เนื่องจากตามกฎหมายส.ส.หากถูกขับออกจากพรรคการเมืองหนึ่ง จะต้องหาสังกัดพรรคการเมืองใหม่ภายใน 30 วัน ไม่เช่นนั้นจะต้องสิ้นสภาพการเป็นส.ส.ทันที
ล่าสุด ยังมีข่าวว่าพรรคเศรษฐกิจใหม่ หนังสือถอนตัวจากการพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อต้องการทำงานตามอิสระตามแนวทางของพรรค แต่ประชาชนต่างตั้งข้อสังเกตว่านายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ จะมีจุดยืนตามมติพรรคหรือไม่ เพราะที่ผ่านมานายมิ่งขวัญ ออกตัวมาตลอดว่าไม่เอาเผด็จการและรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารสืบทอดอำนาจ ดังนั้นจากนี้ต้องติดตามท่าทีของนายมิ่งขวัญ กันต่อไป
นอกจากนี้ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติหลายท่าน แม้ว่าจะไม่ย้ายไปพรรคไหนก็ตาม แต่ก็สร้างความฮือฮาต่อสภาฯสถานที่ ที่ถูกยกย่องว่าเป็นสถานที่อันทรงเกียรติอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เป็นประธาน ย่อมจะมีปากเสียงและใช้ถ้อยคำรุนแรงอยู่ตลอด และมักจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับส.ส.หน้าเดิมๆจากพรรคพลังประชารัฐ อย่างน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ชอบท้าทายอำนาจของประธานกมธ.อยู่ตลอด จนถึงขั้นที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯต้องเข้ามานั่งสังเกตการณ์ในกมธ.ชุดนี้ด้วยตนเอง
ยังไม่จบแค่นั้น ในการชุมสภาฯเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ที่หลายคนมองว่าในที่สุดรัฐบาลก็ผ่านป้อมปราการแรกในสภาฯไปได้เสียที แต่มันกลับเกิดเหตุการณ์ที่อาจะทำให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ส่อหยุดชะงัก เนื่องจากมีอดีตส.ส.พัทลุงหลายสมัย จากพรรคประชาธิปัตย์ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ออกมาแฉว่ามีส.ส.จากพรรคภูมิใจไทย เสียบบัตรแทนกัน และนอกจากนั้นยังมีคลิปจากสื่อมวลชนเผยแพร่อีกว่ายังมีส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เสียบบัตรแทนกันอีก ซึ่งขอไม่ลงในรายละเอียด เพราะขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเรื่องนี้ไว้พิจารณาแล้ว
มาต่อกันที่พรรคอนาคตใหม่ ที่รอดพ้นจากคดีล้มล้างการาปกครอง หรือที่เรียกกันว่า คดีอิลลูมินาติ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง เพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอ แต่มันจบไม่แค่นั้น เนื่องจากผู้ร้องอย่างนายณฐพร โตประยูร ยื่นเอกสารต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิ่มเติมในคดีดังกล่าว ขณะที่พรรคอนาคตใหม่จะฟ้องกลับต่อนายณฐพรด้วย
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็มีสมาชิกพรรคหลายคน ตัดสนใจลาออกกันเป็นแถวๆ เรียกว่า เลือดประชาธิปัตย์กำลังหลั่งไหล เพราะแต่ละคนที่ไขก๊อกล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถของพรรค ยกตัวอย่างเช่น นายกรณ์ จาติกวณิช และอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่ตัดสินใจลาออกเพื่อไปจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นของตัวเอง
สุดท้ายกับเรื่องที่สังคมให้ความสนใจกับเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนา ในมีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีน และขณะนี้แพร่ระบาดไปเกือบทั่วโลก กระทั่งบ้านพี่เมืองน้องอย่างประเทศไทยเรา แม้ว่าจะยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาอย่างดังกล่าวได้ แต่ไทยเราเองก็ยังควบคุมและเฝ้าระวังอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ลุกลามบานปลาย ซึ่งมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะมีกระแสข่าวปลอมเกิดขึ้นในโลกโซเชียมีเดียเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ประชาชนตื่นและเข้าใจผิด
ขณะเดียวกัน รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ แต่อาจไม่ทันใจประชาชนในหลายเรื่อง ส่วนนักการเมืองบางกลุ่มก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกันสนุกปาก แปลกใจเหมือนกันว่า คนไทยแทนที่จะช่วยเหลือกัน กลับมาเล่นงานกันเองแบบนี้ แล้วจากนี้ประเทศจะปรองดองและเดินหน้าเพื่อทัดเทียมนานาชาติได้อย่างไร หวังว่าจากนี้สถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ และขอเอาใจช่วยทุกคนด้วย
สุดท้ายนี้ หวังว่าในเดือนกุมภาพันธ์นี้ คงไม่ใช่เดือนทมิฬ หรือเดือนวิปโยค อะไรกันอีกเลยนะ แค่เดือนนี้เดือนเดียวก็เหมือนรวมเหตุการณ์ทั้งปีกองไว้ในเดือนมกราคมแล้ว