เลือกตั้งซ่อม ครั้งนี้ เรียกได้ว่ามีความหมายกับพรรคการเมืองต่างๆไม่น้อย ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน เพราะสามารถชี้ชะตาความได้เปรียบทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรได้
ซึ่งการเลือกตั้งซ่อมคาดว่าจะมีอยู่ 4 เขต ที่ต้องดำเนินการเลือกตั้งกันใหม่ ประกอบไปด้วย เขตเลือกตั้งที่ 5 จ.นครปฐม, เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.กำแพงเพชร, เขตเลือกตั้งที่ 7 จ.ขอนแก่น และเขตเลือกตั้งที่ 5 จ.สมุทรปราการ
โดยการเลือกตั้งซ่อมที่ชัวร์ที่สุด คือ ในพื้นที่ จ.นครปฐม ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดเลือกตั้งซ่อม 23 ต.ค.นี้ และพื้นที่นี้เป็นพื้นที่เดิมที่นางจุมพิตา จันทรขจร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ชนะการเลือกตั้ง แต่ก็ได้ลาออกไปเนื่องจากปัญหาสุขภาพ
นับว่าการเลือกตั้งเขตนี้ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะมีผู้เข้าชิงลงเลือกตั้งลงหลายพรรค ทั้งเจ้าเดิมและเจ้าใหม่ โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ ที่ตั้งเป้าเอาคืนบัลลังก์แชมป์คืนมาให้จงได้ ถึงกับขั้นกำหนดให้การเลือกตั้งซ่อมที่นี่ เป็นแบบ ”โดมิโน” ในทางการเมือง เพื่อหวังส่งผลสะเทือนไปยังการเลือกตั้งซ่อมที่อื่นๆ พร้อมกับหาเสียงว่าไม่เอา “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลยังมีปัญหาความไม่ชัดเจนในการส่งตัวผู้สมัคร เพราะตามธรรมเนียมมารยาท ต้องหลีกทางให้พรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นเจ้าของพื้นที่ส่งผู้สมัครเพียงคนเดียว เหมือนกับที่พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัคร และเปิดทางให้พรรคอนาคตใหม่ ส่งนายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร สามีนางจุมพิตา ลงสมัครแทน
ซึ่งงานนี้พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนาก็ส่งผู้สมัครลงแข่งขันด้วย แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะหลีกทางให้แล้วก็ตาม โดยพรรคประชาธิปัตย์ส่งนายสุรชัย อนุตธโต เป็นผู้สมัครรายเดิม แต่ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา ส่งนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 3
หากเป็นแบบนี้คะแนนของฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลต้องถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งแน่นอน แต่ต่างกับพรรคฝ่ายค้านที่คะแนนถูกเทไปที่พรรคอนาคตใหม่เพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ เมื่อหากดูโควต้าเสียงในสภาฯจากฝั่งรัฐบาลและฝั่งฝ่ายค้าน ก็ยังเป็นเสียงที่ค่อนข้างปริ่มน้ำอยู่เหมือนกัน หากนับเพียงแค่เขตเลือกตั้งซ่อมที่จ.นครปฐมก็อาจเป็นไม่เป็นปัญหามากนัก แต่ถ้าพรรคอนาคตใหม่เดินเกมแบบโดมิโนจริง อาจส่งผลต่อการเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่อื่นที่พรรคพลังประชารัฐกำลังจะเสียพื้นที่อยู่ก็เป็นได้
แต่ในพื้นที่อื่นก็ยังไม่ชัดเจนเหมือนพื้นที่นี้ เพราะทั้งพื้นที่กำแพงเพชร และขอนแก่น ก็ยังไม่ชัดเจนเรื่องคดีความ และการสิ้นสภาพของส.ส. ดังนั้นเหตุข้างต้นนี้อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เสียงรัฐบาลสั่นคลอนไม่ใช่น้อย