ลิเวอร์พูล กลับมาพบกันอีกครั้งน่ะครับกับ คอลัมน์ This Is Liverpool นับนิ้วตอนนี้ก็ปาไปแล้ว 3 ถ้วยแชมป์ระดับเมเจอร์ในปีค.ศ. 2019 สำหรับ ลิเวอร์พูล ไล่ไปตั้งแต่แชมป์ยูฟ่า แชเปี้ยนส์ลีก 2018/2019 , แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 2019 และล่าสุดกับถ้วยแชมป์สโมสรโลก 2019
ซึ่งถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์สโมสรโลกครั้งแรกของสโมสรในรอบเกือบ 38 ปี ของลิเวอร์พูล
หลังจากเข้าชิงชนะเลิศครั้งที่สอง โดยครั้งแรกต้องย้อนไปช่วงปีค.ศ.1981 ซึ่งคู่ชิงไม่ใช่ใครที่ไหนคือฟลาเมงโก คู่ปรับเก่าที่ถล่มชนะ ลิเวอร์พูล ขาดลอย 3-0 ในศึกชิงแชมป์สโมสรโลก ที่สนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
จะว่าไปครั้งนั้นลิเวอร์พูล เจอฟลาเมงโก้ ทีดังจากบราซิล ต่างก็ถือว่ามีสตาร์ดังชูโรงเช่นกัน ฟากลิเวอร์พูลมี เคนนี่ ดัลกลิช ส่วนฟลาเมงโก ก็มี ซิโก้ ฉายาเปเล่ขาวสวมปลอกแขนกัปตันทีมนำทัพ
ย้อนกลับมาในเกมนัดชิงชนะเลิศครั้งที่สองของลิเวอร์พูล ที่ย้อนไทม์แมชชีน มาจ๊ะเอ๋ได้ล้างตา ฟลาเมงโก้ อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเพราะสโมสรโลก เวอร์ชั่น 2019 ครั้งนี้ชัยชนะตกเป็นของลิเวอร์พูลที่เป็นฝ่ายได้เฮด้วยสกอร์ 1-0 จากประตูชัยช่วงต่อเวลาพิเศษ น.99 จากโรเบอร์โต้ เฟอร์มิโน ที่ซัดประตูฝังสโมสรชาติบ้านเกิด ในฤดูกาล 2019
ภายใต้การคุมทัพของเจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องยอมรับว่าคล็อปป์ ได้สร้างทัพหงส์แดง ให้กลายเป็นทีมที่สาวกเดอะค็อปทั่วโลกรอคอย ได้อย่างตั้งใจ ซึ่งที่ผมเขียนก็คงไม่ใช่เรื่องที่โอเวอร์เกินไปนัก
เพราะจากผลงานที่เห็นทั้งบนตารางคะแนนในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019/2020 ที่นำโด่งจ่าฝูงแบบทิ้งห่าง จากอันดับสองแบบไม่ไกลลิบสิบกว่าแต้ม ก็คงจะทำให้แฟนบอลหงส์แดง สบายใจได้ไม่น้อยที่ในช่วงท้ายปลายปี ต่อเนื่องถึงปีใหม่ที่คิวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่อัดแน่นไปด้วยคิวเตะมหาโหด
ซึ่งคอบอลลูกหนังอังกฤษ ก็น่าจะทราบดีว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่หลายๆทีมจะต้องโฟกัสและรักษาฟอร์มการเล่นให้สม่ำเสมอ เพื่อเอาตัวรอดกับช่วงนี้ที่ว่ากันว่าเป็นช่วงที่ตัดสินว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีกกันได้เลย
เรียกว่าทุกนัดจะพลาดไม่ได้เช่นกัน ทั้งเรื่องผลงาน ผลการแข่งขัน ที่จะต้องเดินไปพร้อมๆกันกับเรื่องของความฟิตและอาการบาดเจ็บของนักเตะ ที่คงยากจะเลี่ยงได้เพราะเป็นเรื่องที่คงจะอยู่เหนือนอกการควบคุมกับจังหวะเกมที่เล่นกันเร็วและหนักตามแบบฉบับลูกหนังเมืองผู้ดี
แต่อย่างน้อยการต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุด ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องทำซึ่งก็เชื่อมั่นว่า คล็อปป์ และทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชลิเวอร์พูล ก็คงจะทราบเรื่องนี้ดีเช่นกัน เพราะเมื่อเปิดโปรแกรมลิเวอร์พูล ช่วงบ็อกซิ่งเดย์ ในเกมลีกโปรแกรมชุกไม่ใช่เล่น ไล่ไปตั้งแต่..
คืนวันที่26/12/2019 เยือน เลสเตอร์
29/12/2019 เหย้าพบ วูล์ฟแฮมป์ตัน
คืนวันที่ 2/1/2020 เหย้าพบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
ก่อนที่จะคั่นกลางด้วยศึกเอฟเอคัพ รอบที่สาม 5/1/2020 เหย้าพบ เอฟเวอร์ตัน
จากนั้นกลับมาเตะกันต่อพรีเมียร์ลีก คืนวันที่11/1/2020 เยือน สเปอร์ส
ต่อด้วยศึกแดงเดือด 19/1/2020 เหย้าพบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
มาติดตามกันว่าเจ้าของแชมป์สโมสรโลกทีมล่าสุดอย่าง ลิเวอร์พูล จะยืนระยะและก้าวผ่านช่วงวัดใจ นี้ไปได้หรือไม่ ?
เพราะจากไทม์ไลน์โปรแกรมที่ออกมาต้องยอมรับว่าหฤโหด ไม่น้อยเลยทีเดียว.
“ยอดี้”