ไม่กี่วันมานี้ได้มีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า ‘รัฐราชสถาน’ (Rajasthan) ในอินเดีย กำลังเกิดการระบาดของไวรัสซิกา (Zika) โดยพบผู้ป่วยติดเชื้อแล้วจำนวน 94 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มี ‘แม่ท้อง’ รวมอยู่ด้วย 22 ราย (ตัวเลข ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2561)
Dr. V.K. Mathur ผู้อำนวยการสาธารณสุขรัฐราชสถาน เปิดเผยว่า พบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อวันที่ 23 กันยายน และจำนวนผู้ที่ติดเชื้อไวรัสในเมืองชัยปุระได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นับแต่นั้นเป็นต้นมา โดยหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐได้ตั้งทีมงานจำนวน 330 ทีม ลงพื้นที่แถบ Shastri Nagar เพื่อติดตามและป้องกันการระบาดของเชื้อโรค ด้วยการฉีดพ่นควันกำจัดยุง และเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดในการตรวจหาตัวผู้ป่วย หากพบผู้ติดเชื้อจะถูกแยกออกมาจำกัดพื้นที่ พร้อมตรวจสอบบ้านทุกหลังอย่างละเอียดโดยเจ้าหน้าที่ทีมพิเศษ ทั้งนี้ แผนกสาธารณสุขของรัฐได้แยกเขตพื้นที่ที่ติดเชื้อออกเป็น 8 เขต ซึ่งมีแพทย์ เจ้าหน้าที่อำเภอ พนักงานสวัสดิการสังคม และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เตรียมพร้อมรับมือกับการระบาด ด้วยการตรวจหาเชื้อไวรัสในประชากรประมาณ 434,515 คน และตรวจเช็กบ้านจำนวน 86,903 หลัง
ทางด้าน Govind Parikh โฆษกแผนกสาธารณสุขรัฐราชสถาน เผยว่า แหล่งเพาะพันธุ์ยุง 74,483 แห่ง จากทั้งหมด 200,000 แห่ง ได้รับการยืนยันว่ามีผลการตรวจเชื้อไวรัสเป็นบวก
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญของการแพร่ระบาดครั้งนี้คือ หญิงตั้งครรภ์ทุกคนในพื้นที่จะต้องได้รับการตรวจและติดตามผลด้วย เนื่องจากไวรัสซิกาสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้ โดยทารกในครรภ์อาจมีความผิดปกติของระบบประสาทส่งผลให้เกิดมาพร้อมความผิดปกติ เกิดปัญหาพัฒนาการด้านสายตา การได้ยิน และบางครั้งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ก่อนได้มีการประชุมผู้บริหารและแพทย์ เพื่อหามาตรการแก้ไข โดยจะมีการรณรงค์สร้างจิตสำนึกสาธารณะ และมีปฏิบัติการพ่นควันกำจัดยุงในแหล่งเพาะพันธุ์ยุงทุกแห่งด้วย
โดย Dr. Dileep Mavalankar ผู้อำนวยการสถาบันสาธารณสุขอินเดียในรัฐคุชราต กล่าวว่า เพื่อรับมือและจัดการกับการระบาดครั้งนี้รัฐบาลจำเป็นต้องพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณสุขที่ดีขึ้น พัฒนาบุคลากรให้มากขึ้น และต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมากไปกับการรับมือโรคระบาดครั้งนี้ ซึ่งจนถึงขณะนี้รัฐบาลอินเดียใช้จ่ายเงินไปแล้วประมาณ 2,000 ดอลลาร์ หรือ 147,000 รูปี เพื่อจัดการปัญหานี้
Dr. Dileep Mavalankar ยังกล่าวด้วยว่าการควบคุมและกำจัดยุงเป็นเรื่องที่ยากมากในอินเดีย เพราะสภาพพื้นที่ของอินเดียถือเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงที่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากมีแหล่งน้ำทั้งเล็กและใหญ่กระจายอยู่ทั่วทุกแห่งทั้งชนบทและในเมืองใหญ่ ดังนั้น แคมเปญที่จะเกิดขึ้นจึงควรเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการป้องกันตนเองของประชาชน รวมถึงการรู้จักสังเกตอาการและขอความช่วยเหลือจากรัฐหากสงสัยว่าจะป่วยด้วยไวรัสซิกามากกว่า เพราะโรคนี้เป็นโรคใหม่ และหากมีการแพร่ระบาดแล้วมันจะกลายเป็นปัญหาระยะยาวของประเทศ
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกระบุว่า นี่คือครั้งที่สามแล้วที่ไวรัสซิการะบาดในอินเดีย และเป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่สุด หลังจากการระบาดครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคมปี 2560ในแถบ Ahmedabad ทางตะวันตกของรัฐคุชราต (Gujarat) ซึ่งพบผู้ติดเชื้อ 3 ราย ต่อมาในเดือนกรกฎาคมมีรายงานการระบาดครั้งที่ 2 โดยพบผู้ติดเชื้อ 1 ราย ทางตอนใต้ในรัฐทมิฬนาฑู (Tamil Nadu) และการระบาดของรัฐนี้ก็ยังคงมีอยู่
ขณะที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวประมาณการณ์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า มีการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดนี้ในพื้นที่ 90 ประเทศ ซึ่งเป็นไวรัสที่มียุงตัวเมีย ‘Aedes aegypti’ เป็นพาหะ คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสซิกาจะไม่แสดงอาการ ไม่ทราบระยะเวลาการบ่มเชื้อที่แน่นอน และไม่มีวัคซีนป้องกัน ดังนั้น หากใครมีไข้ มีผื่นขึ้น ปวดข้อ และตาแดง หรืออาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อหรือปวดหัว ต้องรีบไปพบแพทย์
แม้องค์การอนามัยโลกจะประกาศไว้ในเดือนพฤศจิกายนปี 2559 ว่าไวรัสซิกาไม่ถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่สร้างความกังวลในระดับนานาชาติ แต่กระทรวงสาธารณสุขของอินเดียก็ต้องจับตาดูสถานการณ์ต่อไป
หากอินเดียไม่สามารถระงับการระบาดของโรคนี้ได้ ซิกาอาจกลายเป็นไวรัสอีกชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับไข้เลือดออก ที่จะวนเวียนอยู่ในชีวิตประชาชนชาวอินเดียในอนาคตอันใกล้นี้
ที่มา: www.edition.cnn.com
