รายงานพิเศษ : เปิดเกมต่อรอง “รัฐบาลขั้ว 3” สะเทือน “ดีล” อำนาจ “พลังประชารัฐ”
ท่ามกลางภาวะฝุ่นตลบที่ยังไม่ลงตัว ระหว่างการเปิดโต๊ะเจรจากระทรวงสำคัญๆ ของพรรคพลังประชารัฐยังไม่นิ่ง ถึงแม้จะผ่านวาระเลือก “ประธานสภาฯ” ยกแรกไปแล้วก็ตาม เมื่อท่าทีของ “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์” 2 พรรค “ตัวแปร” สำคัญยังกุม 104 เสียงไม่ยอมไม่แตะมือ “พลังประชารัฐ” เพื่อฟอร์มรัฐบาลตามที่คาดการณ์กันไว้
เป็นความ “เขี้ยวลากดิน” ทางการเมืองที่พลังประชารัฐได้รับจากทั้ง 2 พรรค เพราะ “เงื่อนไข” ที่ถูกวางไว้บนโต๊ะเจรจายังหาข้อสรุปไม่ได้ โดยเฉพาะ “กระทรวงเกรดเอ” ที่แต่ละพรรคต้องการโควต้าเพื่อต่อยอดนโยบายใช้หาเสียง เรียกความนิยมให้ฝ่ายตัวเอง รองรับสถานการณ์เสียง ส.ส.ปริ่มน้ำของรัฐบาลในสภาฯ พร้อมจะล้มได้ทุกเมื่อ
กลายเป็น “เกมต่อรอง” เพื่อซื้อเวลาเจรจาของ “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์” ในช่วงที่ “พลังประชารัฐ” เดินสาย “คุยนอกรอบ” เพื่อเร่งปิดดีลก่อนที่ระยะเวลาการตั้งรัฐบาลจะยืดยาวไปกว่านี้ จากปัจจัยที่ “ประชาธิปัตย์” ยังเสียงแตกหาข้อสรุปไม่ได้ จนถูกเลื่อนการลงมติไปอย่างไม่มีกำหนด
ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนทิศทางมาที่ “ภูมิใจไทย” ที่เคยตกปากรับคำกับ “พลังประชารัฐ” ไปแล้ว ต้องถอยกลับมาหยุดที่เงื่อนไขจาก “อนุทิน ชาญวีรกูล” ประกาศไว้ก่อนเลือกตั้งว่า รัฐบาลชุดใหม่ต้องมีเสถียรภาพ หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ตอบรับเข้าร่วม ก็ทำให้รัฐบาลที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีเสถียรภาพ เนื่องจากจะทำให้เสียงในสภาฯ มีไม่เกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งพรรคภูมิใจไทยมีเงื่อนไขที่ชัดเจนตรงนี้
เพราะตัวเลขที่ “อนุทิน” ต้องการให้พรรครัฐบาลเสียงข้างมาก มีเหนือพรรคร่วมฝ่ายค้านต้องเกิน 251 เสียงขึ้นไป เพื่อเข้าช่องให้ “สภาล่าง” เลือกนายกฯ ได้ด้วยตัวเอง ชัดเจนในประโยคที่ “อนุทิน” ส่งสัญญาณไปถึง “พลังประชารัฐ” ที่ว่า หากสุดท้ายประชาธิปัตย์ไม่มาร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐ ยอมรับว่าก็ขัดหลักการของพรรคภูมิใจไทยแน่นอน
ยิ่งตัวเลขพรรคฝ่ายพลังประชารัฐถึงนาทีนี้ยังอยู่ในภาวะระส่ำ หากไม่นับ “ประชาธิปัตย์” 53 เสียง “ภูมิใจไทย” 51 เสียง “ชาติไทยฯ” 10 เสียง จะมี ส.ส.อยู่ที่ 137 เสียงเท่านั้น หาก “พลังประชารัฐ” เลือกไพ่เดินหน้า “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เพื่อเปิดทางให้ 250 ส.ว.เข้ามาโหวต “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกฯ แต่จะถูกมัดข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน จากภาพที่ “คสช.” เลือก 250 ส.ว. เข้ามาเพื่อเลือก “หัวหน้า คสช.” เป็นนายกฯ ด้วยตัวเอง
หรือหากมองข้ามช็อตไปถึง “พลังประชารัฐ” เลือกนายกฯได้สำเร็จ แต่ระหว่างทางเป็นรัฐบาลจะรักษา “ดุลยภาพ” ส.ส.ภายในพรรคร่วมรัฐบาลได้แค่ไหน หรือต้องเจรจาเป็นจ๊อบๆ เพื่อทยอยปิดเกมการลงมติผ่านกฎหมายสำคัญๆ แต่ละครั้ง เมื่อเสียงที่ยังไม่มากพอจะสร้างเสถียรภาพได้เบ็ดเสร็จ จะได้เห็น “ฝ่ายค้าน” เล่นแง่งัดเทคนิคขอ “นับองค์ประชุม” ในสภาฯ สะเทือนไปถึง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลฝั่ง “พลังประชารัฐ” แทบจะขาดประชุมไม่ได้เลย
จึงมาเข้า “ล็อค” ดีลราคาแพงตกอยู่ที่ “ภูมิใจไทย” กับ “ประชาธิปัตย์” ที่บีบไปถึง “พลังประชารัฐ” จะปล่อยกระทรวงสำคัญออกมาหรือไม่ เพราะภายในพรรคพลังประชารัฐเองยังเกิด “แรงกระเพื่อม” ต่อเก้าอี้รัฐมมนตรีที่มีไม่น้อยกว่า “ประชาธิปัตย์” ขณะที่ฝั่ง “ชาติไทยฯ” ย่อมรู้เกมปั่นราคา เชื่อได้ว่าจะสงวนท่าทีเพื่อสวิงเวลารอเปิดโต๊ะต่อรองเช่นกัน
ท่ามกลางกระแสกดดันนักการเมือง ต่อการจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ โดยยึดประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่ตั้งเพื่อเดินหน้าทำงานให้ประเทศ แต่ขณะนี้ผ่านมาแล้ว 66 วันหลังเลือกตั้ง 24 มี.ค. ยังเห็นแต่ความคลุมเครือทางการเมือง ที่หนีไม่พ้นเกมแห่งการต่อรอง สุดท้ายแล้วมีประชาชนอาจเป็นเพียงบันไดก้าวสู่อำนาจเท่านั้น