รายงานพิเศษ : ชี้ชะตา “ธนาธร” ลมหายใจ “อนาคตใหม่” ในมือ “กกต.”
“ทุกท่านไม่ต้องห่วง ผมยังมีกำลังใจแข็งแรง สปิริตยังเข้มแข็ง แกนนำพรรคชาวอนาคตใหม่ทุกคน ยังเชื่อความบริสุทธิ์ของพวกเรา เชื่อว่าคดีนี้เป็นความมุ่งหวังที่จะทำลายทางการเมือง เราจะขอเดินหน้าสู้คดีเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมโดยความบริสุทธิ์ ทุกท่านครับผมจะเปลี่ยนวันกลับให้กลับไปถึงเมืองไทยวันที่ 25 เม.ย. เพื่อไปตอบโต้ข้อกล่าวหา เพื่อไปชี้แจง กกต.ด้วยตัวเอง“
ถ้อยคำล่าสุดจาก “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ภายหลังทราบข่าวที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติ “แจ้งข้อกล่าวหา“ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 98 (3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 มาตรา 42 (3) อันเป็นกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฏหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และพรรคการเมือง โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว มีหลักฐานเบื้องต้นฟังได้ว่า “ผู้ถูกร้อง” เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในบริษัท วี–ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการสิ่งพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ จำนวน 675,000 หุ้น มีเลขหมายใบหุ้นตั้งแต่ 1350001 ถึง 2025000

ถือเป็นเรื่องไม่เกินความคาดหมาย จากที่มีกระแสว่า กกต.จะมีมติดังกล่าวออกมาในสัปดาห์นี้ ถึงแม้ฝ่ายกฎหมายพรรคอนาคตใหม่ จะมายื่นหลักฐานชี้แจงเพื่อต่อ กกต.แล้วก็ตาม แต่ กกต.ให้โอกาส 7 วันที่ “ธนาธร“ ต้องมาแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ “ธนาธร” ตัดสินใจเดินทางกลับมาประเทศไทยในวันที่ 25 เม.ย. เพื่อมาต่อสู้คดีที่ฝ่าย “อนาคตใหม่“ เชื่อว่าจะเป็น “ตัวแปร” สำคัญที่จะสกัด “ธนาธร“ เพื่อเข้าสภาฯ ก่อนที่ กกต.จะประกาศผลเลือกตั้ง 95 % อย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พ.ค.
ระหว่างนี้จะเป็น 7 วันที่ “ธนาธร” ต้องแสดงหลักฐานใหม่ในกระบวนการ “โอนหุ้น” ทั้งหมด เพราะคำชี้แจงที่ออกมาจาก “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค ไม่อาจทำให้ “กกต.” เชื่อได้ว่า การโอนหุ้นของ “ธนาธร” ครั้งนี้ไม่ผิดหลักเกณฑ์ เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามรับสมัครเลือกตั้ง

กลายเป็นสถานการณ์ที่ “อนาคตใหม่” ต้อง “แบกรับ“ เมื่อครบระยะเวลา 1 เดือนวันเลือกตั้ง 24 มี.ค. เพราะไม่ใช่แค่ “ธนาธร” เพียงคนเดียวที่ถูกมรสุมใหญ่เข้าถาโถม เมื่ออีกหนึ่งหัวเรือใหญ่อย่าง “ปิยบุตร” ได้ถูกกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก. ปอท.) แจ้งข้อหาในความผิดฐาน “ดูหมิ่นศาล” ตามกฎหมายอาญามาตรา 198 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการอ่านแถลงการณ์ “อนาคตใหม่” คัดค้านมติศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติเมื่อวันที่ 7 มี.ค.2562

ยังไม่จบเพียงแค่นี้เมื่อ “ศรีสุวรรณ จรรยา“ เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกมาเปิดเผยอีกว่า ในสัปดาห์หน้าจะเข้าร้องเรียน กกต.อีกครั้ง ภายหลังพบหลักฐาน “ว่าที่ ส.ส.อนาคตใหม่” ทั้งระบบปาร์ตี้ลิสต์และเขต ประมาณ 10 คน ได้ถือหุ้นสื่อก่อนรับสมัคร ส.ส. เช่นกัน
จึงได้เห็นความเคลื่อนไหวปรากฏการณ์ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ออกมา “คัดค้าน” ประเด็นการแจ้งข้อกล่าวหาของ กกต. โดยนำไปเทียบเคียงกับคำร้องอื่นๆ ที่มีผู้ยื่นให้กกต. “ตรวจสอบ” เช่นกัน โดยเฉพาะคำร้อง “เจ้าหน้าที่รัฐ“ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทางการเมือง และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถือเป็น “คู่แข่ง” ในการเลือกตั้งกับพรรคอนาคตใหม่โดยตรง

ทำให้ขณะนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสในสังคมออนไลน์ต่อแฮชแท็ก #ธนาธร ที่ขึ้นอันดับ 1 ในทวิตเตอร์ จะเริ่มมีการ “ก่อตัว” ต่อเคสธนาธรในครั้งนี้ เมื่อเทียบกับเคสอื่นๆ ในรูปแบบเดียวกันของผู้ใกล้ชิดฝ่ายรัฐบาล ตั้งแต่การถือหุ้นของรัฐมนตรี การชี้นำสื่อทางตรงหรือทางอ้อมของผู้สมัครเลือกตั้งในบางพรรคการเมือง หรือท่าทีการแสดงออกของ “หัวหน้าคสช.” ที่ผ่านมา จะมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่
หากมองไปที่ “มติ” ของ กกต. จากนี้ เส้นทาง “ธนาธร” จะยืนอยู่บน “ปากเหว” ใน 2 ช่วง ในช่วงแรกหาก “ธนาธร” มาโต้แย้งข้อกล่าวหาภายใน 7 วันแล้ว คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนจะนำข้อมูลและหลักฐานทั้งหมด นำเสนอต่อที่ประชุม “กกต.ชุดใหญ่“ เพื่อลงมติในข้อกล่าวหา ซึ่งคาดว่าจะแบ่งเป็น 2 ทาง 1.ยกคำร้องไม่เป็นไปตามข้อกล่าวหา และ 2.หาก กกต.เห็นว่า “ธนาธร” เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. โดยหาก กกต.มีมติก่อนประกาศรับรองผลเลือกตั้งวันที่ 9 พ.ค. จะเข้าสู่การ “ระงับสิทธิ” สมัครรับเลือกตั้งของ “ธนาธร” ไว้ชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปีหรือเป็นการให้ “ใบส้ม“

หากการตรวจสอบข้อกล่าวหาของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน แล้วเสร็จภายหลังการประกาศรับรอง “ธนาธร” เป็น ส.ส.ในวันที่ 9 พ.ค. จะเปลี่ยนให้ “กกต.” ต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 54 ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 เพื่อขอให้วินิจฉัยให้ความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลง
ซึ่งในประเด็นการให้ “ใบส้ม” นั้น “ปิยบุตร” มั่นใจว่า ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ในมาตรา 53 ต้องใช้เฉพาะผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่านั้น ไม่เข้าข่ายที่ “ธนาธร” จะได้รับโทษ ในฐานะผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ

เมื่อมองระยะเวลา 7 วันของ “ธนาธร” ในมือ “กกต.” จากนี้ จะชี้วัดความเป็นไปต่อหัวขบวน “อนาคตใหม่” จะเป็นอีกแรงเสียดทานครั้งสำคัญ ต่ออนาคตทางการเมือง “ธนาธร” ถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายทั้งสิ้น