ตำรวจและ ปปง. ขยายผลจับกุมแกงค์คอลเซ็นเตอร์ได้เพิ่มอีก 21 ราย โดยเป็นคนไทย โดยมีพฤติการณ์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ก่อนมีเหยื่อหลงเชื่อ และโอนเงินไปให้มูลค่ารวมกว่า 120 ล้านบาท
โดยการจับกุมในครั้งนี้เป็นการขยายผลการปราบขบวนการคอลเซ็นเตอร์ครั้งที่ 4 ที่ตำรวจได้ร่วมมือกับตำรวจท่องเที่ยวและสำนักงานการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยที่ผู้ต้องหาทั้ง 21 รายแบ่งเป็นคนไทย 19 รายและชาวต่างชาติ 2 ราย แยกประเภทเป็นระดับสั่งการ 1 ราย คนจัดหาคอลเซ็นเตอร์ 2 ราย พนักงานคอลเซ็นเตอร์ 15 ราย และกลุ่มธุรกรรมทางการเงินอีก 3 ราย โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพที่ทำไปเพราะเห็นคนรู้จักทำแล้วได้เงินมากจึงทำตาม อีกทั้ง เมื่อขอข้อมูลผู้เสียหายได้สำเร็จ ก็จะมีเงินพิเศษมอบให้เป็นจำนวน 3-4% ของเงินเดือนที่ได้ประมาณ 15,000-20,000 บ. และการอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐถือเป็นการหลอกผู้เสียหายได้มากที่สุด
ผู้ต้องหาทั้งหมด 21 รายถูกตำรวจนำตัวมาสอบสวนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติฐาน แอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินในลักษณะขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยการจับกุมในครั้งนี้ตำรวจสามารถยึดของกลางเป็น โทรศัพท์สำนักงาน โทรศัพท์มือถือ สมุดบัญชีธนาคาร หนังสือเดินทาง คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค หลายรายการ
พลตำรวจโทธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ รักษาราชการแทนที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า การกระทำกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอ้างตัวเป็นเจ้าพนักงานรัฐ และหลอกผู้เสียหายว่ามีข้อมูลทางการเงินไปพัวพันกับองค์กรอาชญากรรม และจะถูกดำเนินคดีอายัดทรัพย์ เมื่อเหยื่อหลงเชื่อก็จะให้โอนเงินผ่านบัญชีผู้รับจ้างเปิดบัญชี จากนั้นจะมีคนที่ทำหน้าที่กดเงิน รวบรวบฟอกเงินและกระจายเงินไปผ่านระบบ bitcoin บริษัททัวร์ แล้วเงินก็จะถูกนำไปรวบรวมที่กลุ่มผู้ดำเนินการระดับบริหารทั้งไทยและจีน ก่อนเงินจะกลับไปสิ้นสุดที่หัวหน้าใหญ่ที่สั่งการ
การขจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในครั้งนี้ ทางการไทยยังได้รับความร่วมมือจากตำรวจในประเทศเขมร และล่าสุดวันนี้จะมีการส่งผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยที่อยู่ในเขมร เข้าสู่ประเทศไทยอีกด้วย