พระประวัติ สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่
“สมเด็จพระมหามุนีวงศ์” (อัมพร อัมพโร)
ปัจจุบัน สิริอายุ 89 ปี พรรษา 68
เป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ
ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 14-15 (ธรรมยุต)
กรรมการมหาเถรสมาคม และแม่กองงานพระธรรมทูต
เกิดเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2470 ที่ ต.บางป่า อ.เมือง จ.ราชบุรี
บิดา–มารดา ชื่อ นายนับและนางตาล ประสัตถพงศ์ ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย
วัยเยาว์ เรียนจบประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนเทวานุเคราะห์ กองบินน้อยที่ 4 จ.ลพบุรี
เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ.2480 ณ วัดสัตตนารถปริวัตร จ.ราชบุรี
เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2491โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์
การศึกษา
– สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค
– จบปริญญาตรี ศาสนศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
– จบปริญญาโท ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี มหาวิทยาลัยพาราณสี ประเทศอินเดีย
– สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ถวายศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสตร์
– สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาธรรมนิเทศ
นอกจากนี้ ยังเป็นหัวหน้าพระธรรมทูต นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ก่อนขยายไปยังเมืองใหญ่อีกหลายเมือง อาทิ กรุงแคนเบอร์รา นครเมลเบิร์น และเมืองดาร์วิน เป็นต้น
อำนาจหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราช
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ระบุไว้ใน หมวด1 มาตรา8
สมเด็จะพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่ง สกลสังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถระสมาคม
การปกครองสงฆ์
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ระบุไว้ใน มาตรา 12
มหาเถรสมาคมประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราชซึ่งทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโดยตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งมีจำนวนไม่เกิน12รูปเป็นกรรมการ
ความแตกต่างระหว่าง ธรรมยุติกนิกาย และ มหานิกาย
หากย้อนดูประวัติศาสตร์วงการสงฆ์ของไทย ผู้ที่ขึ้นเป็นสังฆราช จะมีอยู่ 2 นิกาย คือ ธรรมยุติกนิกาย และ มหานิกาย
โดยพระสายธรรมยุติ เกิดขึ้นสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ ร.4 ขณะที่ทรงผนวชอยู่ ทรงดำริเห็นความเสื่อมโทรม ความไม่เคร่งครัดของวงการสงฆ์สมัยนั้น (แต่บ้างก็ว่าเป็นเหตุผลทางการเมือง) จึงตั้งสงฆ์สายที่เน้นปฏิบัติตามธรรมวินัย โดยตั้งชื่อว่า ธรรมยุติกนิกาย แปลว่า ยุติโดยธรรม แล้วให้ชื่อสายเดิม(ตั้งแต่สมัยสุโขทัย) ว่า มหานิกาย
ย้อนอดีต การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช มหานิกายและธรรมยุติกนิกาย
นับตั้งแต่มีการสถาปนา ธรรมยุตินิกายขึ้นในปี พ.ศ. 2379 ในสมัย ร.4 ถือเป็นจุดเริ่มต้น ของสองนิกาย เมื่อถึงสมัย ร.5 มีการออก พ.ร.บ.การปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 ที่ให้เจ้าคณะธรรมยุติกนิกายปกครองฝ่ายมหานิกายได้ แต่เจ้าคณะมหานิกายปกครองฝ่ายธรรมยุติกนิกายไม่ได้ และอีกข้อที่สำคัญคือ เชื้อพระวงศ์จะต้องบวชเฉพาะในธรรมยุติกนิกายเท่านั้น
ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี พ.ศ. 2475 เกิดคณะปฏิสังขรณ์ ที่มีการเรียกร้องให้เปลี่ยนระบบสังฆสภาเลียนแบบการปกครองรัฐ ส่งผลให้ต่อมา สมัย รัชกาลที่ 8 พระเถระฝั่งมหานิกายก็กลับมาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งต่อมาก็มีการสลับสับเปลี่ยนทั้งสองนิกายเรื่อยมา
จนถึงสมัยสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 จากฝ่ายมหานิกายสิ้นพระชนม์ พระเถระฝ่ายธรรมยุต ก็ได้รับการสถานปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 18 และ 19 ติดต่อกัน ทั้งสององค์อยู่ในตำแหน่งรวมกันนานถึง 38 ปี
ล่าสุด มีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 ซึ่งเป็นพระเถระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย
ส่วนมหานิกาย จะกลับมามีบทบาทในการปกครองสงฆ์อีกครั้งได้หรือไม่ คงต้องคอยกันอีกนาน