“ผมสร้างมันมาจากเม็ดดินเม็ดทราย มันคือบ้านหลังที่ 2 ของผม” เสี่ยสมชายน้ำตาตก ย้อนความหลังบนพื้นที่แห่งความทรงจำ ?!?
ภายหลังจากทีมข่าวไบรท์ทูเดย์ตีแผ่เรื่องราว”ศึกสายเลือด” ที่เป็นเรื่องราวของตระกูลดังตระกูลหนึ่ง จากเศรษฐีพันล้านผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ครัวไฟเบอร์กลาสคนแรกของทวีปเอเชีย
ภายใต้บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง ที่ดำเนินธุรกิจออกแบบตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ภายใน ชำนาญในผลิตภัณฑ์ชุดห้องครัว และชุดห้องน้ำ โดยมี “คุณสมชาย ศรีสกุลภิญโญ” เป็นผู้บุกเบิก เดิมชื่อร้านเพชรเกษมเครื่องเรือน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2520
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าชุดเฟอร์นิเจอร์ครัวภายในประเทศ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2534 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 3 ล้านบาท ปัจจุบันจดทะเบียนอยู่ที่ 40 ล้านบาท
คุณสมชายได้ขยายกิจการ ฐานการผลิต การจ้างงาน รวมพื้นที่กว่า 70 ไร่ และเรียนรู้สายงานก่อสร้างและออกแบบอาคารโรงงานก่อสร้าง อาคารสำนักงานและโชว์รูมด้วยตนเอง
จนทำให้ปัจจุบันบริษัทสตาร์มาร์คได้ขยายตัว และมีบุคลากรในองค์กรมากกว่า 3,000 คน มียอดขายรวมกว่า 2 พันล้านบาทในปีพุทธศักราช 2558 เป็นบริษัทที่ได้รับการยอมรับ และมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการเฟอร์นิเจอร์จนถึงปัจจุบัน
จนกระทั่งวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 ทีมข่าวไบรท์ทูเดย์ พร้อมด้วยคุณสมชายและครอบครัว รวมถึงลูกน้องคนสนิทของคุณสมชายที่ถูกไล่ออกจากงาน เดินทางไปยังบริษัทสตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด
ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 1/109-110 หมู่ที่ 2 ถนนพระราม 2 ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ใบอนุญาตเลขที่ สส.06/39 ซึ่งเป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ก่อนเดินทางเข้ายังโรงงาน คุณสมชายระบุว่าพื้นที่ด้านหน้าโรงงาน ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่ของราชพัสดุนั้น เป็นอาคารหลังแรก ที่มีเนื้อที่ 8 ไร่ ที่ตนใช้เงินลงทุนและซื้อมาในขณะที่คู่กรณีกำลังศึกษาอยู่ เมื่อคู่กรณีสำเร็จการศึกษาจึงเข้ามาทำงานในโรงงานแห่งนี้ระหว่างปีพุทธศักราช 2537-2538
คุณสมชายเล่าต่อว่าในอดีตเคยถูกกีดกันจากคู่กรณีส่งหนังสือโดยมีคำสั่งห้ามตนเข้าพื้นที่โรงงานโดยเด็ดขาด ทั้งนี้คุณสมชายเปิดเผยกับทีมข่าวไบรท์ทูเดย์ว่าได้มีการปรึกษากับทนายความส่วนตัวว่าตนมีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเดินทางเข้ามายังพื้นที่ดังกล่าวได้ เนื่องจากที่ดินผืนดังกล่าวเป็นของตน อีกทั้งตนยังเป็นผู้ถือหุ้นอีกด้วย
อย่างไรก็คุณสมชาย ยังระบุเพิ่มเติมด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่าสาเหตุที่ไม่อยากเดินทางกลับมาที่นี่ตั้งแต่เกิดเรื่องในปีพุทธศักราช 2560 เนื่องจากไปอยากกลับมาเจอบรรยากาศเก่าๆ โรงงานแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่สองของตน
ที่สร้างมันมาจากเม็ดดินเม็ดทรายด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเกือบทั้งชีวิต และโรงงานแห่งนี้เป็นโรงงานแห่งที่ 3 ในนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร ในอดีตพื้นที่ดังกล่าวเป็นทุ่งนา ไม่มีความเจริญและสะดวกสบายเหมือนในปัจจุบัน
นอกจากนี้คุณสมชายได้นำทีมข่าวไบรท์ทูเดย์เดินทางเข้าไปยังห้องทำงานของตน ซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากเดิมมากนัก ยังคงมีเอกสารวางอยู่ในตู้จำนวนหนึ่ง ในอดีตพื้นที่ดังกล่าวเป็นแผนกจัดซื้อ แต่ปัจจุบันกลายเป็นแผนกบุคคล
ก่อนจะเดินทางกลับคุณสมชายระบุทิ้งท้ายว่า “ผมเป็นคนสมถะ ผมสอนให้ลูกผมเป็นอย่างนั้น เมื่อวันที่ชีวิตเปลี่ยน เราจึงต้องอยู่ให้ได้แล้วเดินต่อไป ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ ผมขอทำเพื่อครอบครัว เพื่อลูกที่รักของผม เท่านั้น” (คุณสมชาย กล่าว)