ภรรยาเสี่ยสมชาย เผยความในใจ “เสียใจที่พี่น้องไม่รักกัน” เราลำบากจริงๆ ไม่ได้เป็นเศรษฐีล้มบนฟูก ?!?
ภายหลังจากทีมข่าวไบรท์ทูเดย์ลงพื้นที่ตีแผ่เรื่องราว “ศึกสายเลือด” ที่เป็นเรื่องราวของตระกูลดังตระกูลหนึ่ง จากเศรษฐีพันล้าน ที่ต้องระหกระเหินจากอาชีพนักธุรกิจ ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ครัวไฟเบอร์กลาสคนแรกของทวีปเอเชีย มาสู่พ่อค้าขายราดหน้า
สมชาย ศรีสกุลภิญโญ เสี่ยพันล้าน เผยความในใจ ถ้าจะรวยเราจะรวยไปด้วยกัน
ในระหว่างการสัมภาษณ์เปิดใจ “คุณสมชาย ศรีสกุลภิญโญ” ปัจจุบันอายุ 65 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอริ่ง ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ครัวไฟเบอร์กลาส คนแรกของทวีปเอเชีย ได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดในขึ้นภายในครอบครัวระหว่างพี่น้องร่วมบิดามารดา
ที่เกิดความไม่ลงตัวในหลายๆ ด้าน และมีเหตุให้คุณสมชายและครอบครัวไม่สามารถทำงานในบริษัทได้ และนำไปสู่การฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมถึง 13 คดี ล้วนเป็นคดีที่คุณสมชายยากจะทำใจรับได้ เพราะเป็นคดีที่น้องฟ้องพี่ พี่ฟ้องน้องกลับ
แต่อีกหนึ่งคนที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่คุณสมชายมาตลอดนั่นคือ “นางจารุนันท์ ศรีสกุลภิญโญ” ภรรยา ปัจจุบันอายุ 64 ปี มีบุตรด้วยกันทั้งสิ้น 5 คน มีการศึกษาที่ดี จบจากสถาบันชั้นนำของประเทศ ประกอบด้วย
1. นายเดชนันท์ ศรีสกุลภิญโญ ปัจจุบันอายุ 37 ปี จบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยโอวโดมิเนียน ประเทศสหรัฐอเมริกา
2. นางสาวสุวรีย์ ศรีสกุลภิญโญ ปัจจุบันอายุ 35 ปี จบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหิดล และปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจการตลาด มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
3. นางสาวดลพร ศรีสกุลภิญโญ ปัจจุบันอายุ 32 ปี จบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยบริชติส โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา
4. นายวรัญชัย ศรีสกุลภิญโญ ปัจจุบันอายุ 29 ปี จบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหิดล และปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเจียวธง ประเทศจีน
5. นางสาวศิริพร ศรีสกุลภิญโญ ปัจจุบันอายุ 24 ปี จบปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณนันท์เล่าให้ทีมข่าวไบรท์ทูเดย์ฟังถึงความประทับในตัวสามีว่า “ครั้งหนึ่งเมื่อธุรกิจของครอบครัวเดินทางมาถึงจุดอิ่มตัว คุณสมชายได้มีความคิดจะเดินทางไปดูงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ แต่มีอุปสรรคทางด้านภาษา
จึงได้ตัดสินใจส่งตนเองไปเรียนภาษาที่ประเทศออสเตเรีย เมื่อปี พ.ศ.2530 เป็นเวลา 1 ปี ในระหว่างที่ลูกสาวคนที่สามอายุได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น สมัยที่ไปเรียนภาษา คุณสมชายจะส่งเงินให้ไปเฉพาะค่าเดินทางและค่าเล่าเรียนเท่านั้น
ส่วนค่าครองชีพดิฉันต้องไปทำงานนอกเวลา คือหลังจากออฟฟิตปิดต้องไปทำความสะอาดเพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่าย หวังเพียงว่าจะแบ่งเบาภาระของคุณสมชาย
ขณะที่คุณสมชายต้องทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกสาวที่หลุยส์ซึ่งอายุเพียงไม่กี่เดือน โดยต้องให้ดื่มนมหลายครั้งในเวลากลางคืน อีกทั้งต้องดูแลลูกคนโตอีก 2 คนแทน โดยในเวลากลางวันเท่านั้น ที่จะต้องจ้างพี่เลี้ยงมาเลี้ยงน้องเพราะต้องทำงาน
ในที่สุดหลังจากที่ตนเองได้สำเร็จการศึกษาด้านภาษา จึงเดินทางกลับมาประเทศไทย จึงได้มีโอกาสแบ่งเบาภาระของผู้เป็นสามี โดยไม่คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงเท่านั้นคุณนันท์ยังได้บอกเล่าถึงความคับแค้นใจถึงปมประเด็นที่ไม่ควรเกิดขึ้นในครอบครัว เป็นความหมาดหมางระหว่างพี่กับน้องในครอบครัวของสามี เธอยอมรับว่าเสียใจที่สุดในชีวิตที่เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ
เธออยากเห็นครอบครัวพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกัน ธุรกิจจะเติบโตได้ต้องเป็นระบบครอบครัวพี่น้องต้องช่วยกัน รักกันให้มากๆ แต่มาวันนี้กับเกิดเรื่องความไม่ลงตัวในหลายๆ ด้าน มีเหตุให้คุณสมชายและตัวเธอต้องหันหลังให้กับธุรกิจที่สร้างมากับมือ
อย่างไรก็ตามคุณนันท์ยังคงหยิบยกประโยคที่คุณสมชายผู้เป็นสามีพูดกรอกหูมาตลอดเวลาคือ “ถ้าจนจนคนเดียวได้ แต่ถ้ารวยพี่น้องต้องรวยด้วย” นี่เป็นประโยคที่คุณนันท์ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
นอกจากนี้คุณนันท์ยังระบุเพิ่มเติมด้วยเสียงสั่นเคลือและน้ำตาที่ไหลอาบแก้มว่า”เราลำบากจริงๆ ไม่ได้เป็นเศรษฐีล้มบนฟูก”อย่างที่ใครๆเข้าใจ ทรัพย์สมบัติที่มีก็ต้องได้รับการยินยอมจากพี่น้องของคุณสมชายเซ็นยินยอมถึงจะนำมาขายได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างดูมืดมนเพราะพี่น้องมาทะเลาะกัน
สุดท้ายคุณนันท์ได้ฝากร้านราดหน้าที่ถือว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำแห่งใหม่ของครอบครัว ให้คนที่สนใจแวะไปเป็นกำลังใจและช่วยอุดหนุนธุรกิจของครอบครัวได้ สำหรับร้าน “ราดหน้าเอ็กจือ” ให้บริการอาหารระดับเหลา ทั้งราดหน้าธรรมดา และเป๋าฮื้อ กระเพาะปลาชามยักษ์ ทานได้ 4-6 คน โดยจะเปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เริ่มตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง16.00 น. ณ ตลาดน้ำคลองลัดมะยม โซน 4 …”