เป็นที่ทราบกันดีในปัจจุบันนี้ “โรคมะเร็ง” เป็นสาเหตุการตายของคนไทยสูงที่สุด อีกทั้งยังเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งในแต่ละปีมีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่างเพิ่มประมาณ 18 ล้านคน และเสียชีวิตปีละเกือบ 10 ล้านคน เพราะฉะนั้นประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องมีแผนระดับชาติในการต่อสู้กับโรคมะเร็งอย่างจริงจัง
จากงานวิจัยและค้นพบยารักษาโรคมะเร็งของทางแพทย์จุฬาฯ ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นความหวังใหม่ของคนไทย การรักษาโรคมะเร็งโดยที่มีค่าใช้จ่ายไม่แพง ทุกคนสามารถเข้าถึงเป็นเป้าหมายของทีมค้นคว้า และกลายมาเป็นเรื่องที่ภาคประชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการรับบริจาคทุนวิจัยเพื่อเพื่อสนับสนุนงานวิจัยนี้ให้ดำเนินต่อไปได้ในอนาคต
จากการแถลงข่าว แพทย์จุฬาฯ ก้าวไกล .. สร้างนวัตกรรมการรักษามะเร็ง เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ในการรักษามะเร็งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ การผ่าตัด การฉายรังสี และการให้ยา ซึ่งการฉายรังสี และ การผ่าตัด ถือว่ามีความปลอดภัยสูง แต่ประเด็นหลักอยู่ที่การให้ยา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษามะเร็ง ที่เราใช้กันมานานคือ ยาเคมีบำบัด ที่ต้องยอมรับว่ามีผลข้างเคียงค่อนข้างสูง เพราะจะทำร้ายเซลล์ที่ดีของร่างกายไปด้วย แต่ข้อดี ยาเคมีบำบัดคือ ราคาไม่สูง สามารถเข้าถึงได้ทุกสิทธิ คนไทยทุกคนที่มีสิทธิการรักษา 30 บาท ก็สามารถใช้ได้ และยาอีกชนิดหนึ่งที่ใช้กันก็คือ ยามุ่งเป้า จะออกฤทธิ์เฉพาะเซลล์มะเร็งที่มีลักษณะโรคบางประการ เรียกว่า ยา 1 ตัว อาจจะรักษาได้แค่ 1 โรค ไม่เหมือนยาเคมีบำบัด มีฤทธิ์สูงในการรักษาโรคนั้น ๆ แต่ไม่สามารถรักษาโรคอื่นได้ แต่ก็มีราคาค่อนข้างสูง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นมาว่า
“หากในร่างกายกำจัดได้ ทำไมคนเราถึงเป็นมะเร็งได้อีก?”
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากกลไกที่สำคัญของเซลล์มะเร็ง สร้างสารบางอย่างที่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวที่จะมาทำลายนั้นทำงานไม่ได้
ดังนั้น การวิจัยยารักษาจึงเป็นการสร้างยาในลักษณะ Biologics หรือ ยาภูมิต้านมะเร็ง ซึ่งจะไปปลดล็อคการทำงานของเม็ดเลือดขาวที่ถูกยับยั้งการทำงานจากมะเร็งให้กลับมาทำงานได้ และเม็ดเลือดขาวก็จะสามารถกลับมาทำหน้าที่ทำลายมะเร็งได้ดีขึ้น และจะสามารถรักษาได้ครอบคลุมมะเร็ง 15 ชนิด (ที่มีการศึกษาในปัจจุบัน) เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งไต มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งหัวและคอ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งตับ
ศ.ดร.พญ.ณัฏฐิยา หิรัญกาญจน์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้กล่าวเสริมในเรื่องยารักษามะเร็งว่า ถึงแม้ยารักษามะเร็งนี้จะช่วยรักษามะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น แต่เราไม่อยากให้มองว่ายานี้เป็นยาวิเศษ เพราะสำหรับบางคนก็อาจจะใช้ไม่ได้ผล 100% ซึ่งขึ้นอยู่กับระบบคุ้มกันในแต่ละคน และความร้ายแรงของมะเร็งแต่ละชนิด บางคนอาจจะมีภูมิคุ้มกันที่พร้อมฆ่ามะเร็งอยู่แล้ว แต่บางคนก็มีภูมิคุ้มกันที่ไม่พร้อมและอาจจะต้องรักษาร่วมกับการรักษาแบบอื่นด้วย
สำหรับความคืบหน้างานวิจัย อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ บอกว่า ขบวนการวิจัยทั้งหมดจะมี 5 เฟส ตอนนี้เราผ่านขบวนการเฟส 1 สำเร็จไปแล้ว คือการผลิตยา “แอนติบอดี” ต้นแบบจากหนู ตอนนี้เข้าสู่เฟส 2 คือ การพัฒนาต้นแบบที่ผลิตจากเซลล์หนูทดลองให้มีความคล้ายคลึงกับแอนติบอดีของมนุษย์ ซึ่งเฟสนี้ จะใช้เวลประมาณ 1 ปี ซึ่งถ้าประสบความสำเร็จ ก็จะนำไปสู่เฟส 3 คือ การผลิตยา ซึ่งจะใช้เวลประมาณ 18 เดือน หลังจากนั้นจะเข้าสู่เฟส 4 คือ เป็นการทดสอบยาในสัตว์เพื่อดูประสิทธิภาพ และผลข้างเคียงซึ่งต้องใช้เวลาทดสอบประมาณ 2 ปี และในขั้นสุดท้ายเฟสที่ห้า จะเป็นการทดลองในมนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถทดลองได้ในปี 2566
แม้ว่าระยะการวิจัยยารักษามะเร็งดังกล่าวจำใช้เวลานานประมาณ 8-10 ปี แต่ทางทีมแพทย์วิจัย เชื่อว่าถ้าไม่มีจุดเริ่มต้น ก็จะไม่มีจุดที่ประสบผลสำเร็จ เราเริ่มทำตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ดีกว่าเรายังไม่ได้ลงมือทำ เรามีจุดประสงค์เพื่อให้คนไทยได้รับการรักษาโรคมะเร็งได้อย่างเข้าถึงทุกคน
ส่วนยอดบริจาคล่าสุด ในวันที่ 25 ตุลาคม มียอดเงินจำนวน 83,524,111.72 บาท