วันนี้ (12 พฤษภาคม 2563) ที่สถานีตำรวจนครบาลคันนายาว นายนาคร ศิลาชัย หรือ เปิ้ล นาคร นักแสดงและพิธีกร พร้อมนางสาวกษมา มยุมาศ หรือ จูน ภรรยา และพนักงานในบริษัท เดินทางเข้าพบพันตำรวจโทชูชัย จับเทียน รองผู้กำกับการสอบสวน สถานีตำรวจคันนายาว เพื่อพูดคุยกับนายสุพจน์ จำเริญพฤกษ อายุ 47 ปี คู่กรณี หลังเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 มีคนถือมีดเข้ามาจะทำร้ายพนักงานที่บริษัทมาดามกัสก้า สุขาภิบาล 5 ซอย 24 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน จังหวัดกรุงเทพฯ ทั้งนี้ในวันเกิดเหตุโชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ใช้เวลาในการพูดคุยไกล่เกลี่ยนานกว่า 1 ชั่วโมง
เปิ้ล นาคร กล่าวว่า ตนเพิ่งทราบว่ามีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจากพนักงาน จึงหวั่นในความปลอดภัยของคนในบริษัท และกลัวว่าหากวันหนึ่งลูกๆ มาเล่นที่บริษัท แล้วเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะเป็นอย่างไร
นายสุพจน์ กล่าวว่า ผมยอมรับผิดว่าในวันเกิดเหตุถืออาวุธเข้าไปจริง ปกติตนจะนั่งดื่มแอลกอฮอร์กับเพื่อนที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้าน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบริษัท ก็จะเจอพนักงานชายคนนี้ จอดรถเปิดไฟอยู่บ่อยๆ โดยก่อนเกิดเรื่องได้ตะโกนให้พนักงานบริษัทปิดไฟหน้ารถอยู่หลายครั้ง แต่เขาไม่ยอมปิดไฟ กระทั้งวันเกิดเหตุได้มองหน้ากัน ตนจึงตะโกนให้ของลับไป อีกฝ่ายเลยกวักมือเรียก ตนจึงเดินข้ามไปหาก่อนทะเลาะกัน และอีกฝ่ายได้ต่อยตนก่อนแต่ไม่โดน จึงสวนกลับและชุลมุนกัน เลยเอามีดที่อยู่ในกระเป๋าออกมา อีกฝ่ายก็ไปหยิบมีดยาวมาเช่น ก่อนที่จะคนเข้ามาห้ามและแยกย้ายกันไป
ภายหลังการพูดคุยไกล่เกลี่ย เปิ้ล นาคร กล่าวว่า หลังการพูดคุยกับอีกฝ่ายกลายเป็นว่าเขาเข้าใจผิด สิ่งที่เขานั่งกินเหล้าอยู่ทุกวัน แล้วเข้าใจว่าพนักงานไปเปิดไฟกวนใส่เขา โดยไม่เข้าใจว่าทำไมพนักงานคนนี้ต้องอยู่คนสุดท้ายและเปิดไฟกวนเขาตลอด จึงทำให้มีอารมณ์ แต่เมื่อเขาทราบเหตุผลแล้วว่า พนักงานคนนี้มีหน้าที่ปิดตึก และรอรับภรรยาซึ่งทำฝ่ายบัญชี และลูกเป็นแบบนี้ประจำอยู่ทุกวัน คู่กรณีก็เข้าใจและสำนึกผิดจึงได้ขอโทษกัน ในตอนนี้ไม่อยากจะโทษใคร ตนให้อภัยทุกอย่าง จึงขอให้เขาปรับทัศนคติของตัวเองกับคนของบริษัทตนใหม่ได้หรือไม่ เพราะคนของตนทำมาหากินไม่มีใครคิดจะมีเรื่อง โดยเฉพาะพนักงานของบริษัทที่มีเรื่องกับคู่กรณีอยู่กับตนมานาน 20 ปี และเป็นคนดีไม่เคยมีเรื่องกับใคร
พันตำรวจโทชูชัย เปิดเผยว่า จากการพูดคุย เบื้องต้นเข้าข่ายความผิดพกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยเปิดเผย หรือไม่มีเหตุอันควร ตาม ม.371 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000บาท ส่วนเรื่องการบุกรุกต้องสอบสวนอย่างละเอียด ว่าเข้าข่ายการบุกรุกหรือไม่ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป