การแสดงแฟชั่นโชว์ของแบรนด์ดังจากอิตาลี Dolce & Gabbana ซึ่งกำหนดจะจัดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ในคืนวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561 มีอันต้องถูกระงับลงกะทันหัน เนื่องจากมีการโพสต์โปรโมทในโซเชียล รวมถึงบทสนทนาบางอย่างใน Instagram ของแบรนด์ ที่มีการตีความกันในหมู่ชาวจีนว่าแสดงถึงการเหยียดเชื้อชาติ!
ความดราม่าดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่แบรนด์แฟชั่นชื่อดังของอิตาลีเผยแพร่วิดีโอโปรโมทบนสื่อสังคมออนไลน์ของจีนอย่าง ‘Weibo’ ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (19 พ.ย. 61) โดยแสดงภาพนางแบบจีนกำลังใช้ตะเกียบเพื่อพยายามกินพิซซ่า แคนโนลี (cannoli) และสปาเก็ตตี้ ซึ่งผู้ใช้ Weibo กล่าวหาว่านี่ถือเป็นการใช้สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมจีนที่แสดงให้เห็นถึงความน่ารังเกียจของการเหยียดเชื้อชาติ และแม้วิดีโอดังกล่าวจะถูกลบลงภายใน 24 ชั่วโมง แต่ก็ก่อนจะถูกแชร์ไปอย่างแพร่หลายใน social media ทำให้แฮชแท็ก #BoycottDolce ถูกใช้กระจายไปในวงกว้าง
ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติดังกล่าวยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อหลังจากนั้นเกิดมี ‘บทสนทนา’ ใน Direct message ของ Instagramที่แสดงให้เห็นถึงการสนทนาระหว่าง ‘Stefano Gabbana’ และนักเขียนเรื่องแฟชั่น Michaela Phuong ซึ่งถูกแชร์โดยแอคเคาท์ Instagram ‘Diet Prada’ อันเป็นที่รู้จักกันดีในวงการอุตสาหกรรมแฟชั่น
โดยการสนทนาดังกล่าว Gabbana แสดงท่าทีปกป้องแคมเปญโปรโมท และแสดงความคิดเห็นที่ไม่น่ารักเอาเสียเลยเกี่ยวกับประเทศจีนและชาวจีนที่เข้ามาคอมเมนท์แคมเปญนี้ แถมเขายังบ่นเกี่ยวกับวิดีโอถูกลบไปด้วย
หลังภาพของบทสนทนาใน Instagram ถูกเผยแพร่ออกไป ทาง D&G ก็ได้ออกมาอ้างว่าบัญชี Instagram ดังกล่าวถูกแฮค! โดยสำนักงานกฎหมายของบริษัทกำลังตรวจสอบอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งมีการขออภัยสำหรับความทุกข์ของชาวจีนที่เกิดขึ้นจากการโพสต์ความคิดเห็นและข้อความจาก IG ที่ถูกแฮคนั้นด้วย
โดยมีแถลงการณ์จาก D&G ออกมาในวันพุธว่า “เราไม่มีอะไรนอกจากความเคารพต่อประเทศจีนและประชาชนชาวจีน” พร้อมทั้งยังระบุด้วยว่าอีเวนท์และสิ่งที่บริษัทได้ครีเอทขึ้นก็ด้วยความรักและความหลงใหลในประเทศจีน และทุกคนทั่วโลกที่รัก Dolce & Gabbana สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเรื่องโชคร้าย ไม่เพียงแต่สำหรับ D&G เท่านั้น แต่ยังสำหรับทุกคนที่ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อให้อีเวนท์นี้เกิดขึ้นด้วย
ทั้งนี้ เซเลบชื่อดังของจีนหลายคนที่เคยมีชื่อว่าจะมาปรากฏตัวในงานแฟชั่นโชว์นี้ ได้แสดงเจตนารมณ์ต่อเชื้อชาติและประเทศของตัวเองด้วยการประกาศถอนตัวหลายคน เช่น Wang Junkai นักร้องวง TFBoys และ Li Bingbing แม้แต่กลุ่มเยาวชนพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน (China’s Communist Youth League) ก็ยังเข้าร่วมต่อสู้ด้วยการโพสต์ข้อความใน Weibo ว่า “บริษัทต่างชาติที่ดำเนินงานในประเทศจีน ควรเคารพประเทศจีนและเคารพคนจีน”
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ด้วยว่า ความขัดแย้งและการโต้เถียงครั้งนี้อาจส่งผลให้ D&G ได้รับความเสียหายทางการเงินมหาศาล เนื่องจากมี Shop D&G ใน 25 เมืองของประเทศจีน และตามรายงานของ McKinsey ฉบับปี 2017 ระบุว่าผู้บริโภคระดับไฮเอนด์ของจีน มีการใช้จ่ายเงินกว่า 5 แสนล้านหยวนต่อปี ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของตลาดลักซ์ชัวรีระดับโลก
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ D&G ได้รับแรงต่อต้านจากประชาชนมากถึงขนาดนี้ เพราะในเดือนเมษายนปี 2017 แบรนด์ได้มีการเผยแพร่แคมเปญบน Weibo ที่กล่าวถึงกรุงปักกิ่งว่าเป็นเมืองที่ด้อยพัฒนา และโพสต์ดังกล่าวก็ถูกลบไปหลังจากมีการร้องเรียนเกิดขึ้น นอกจากนี้ในปี 2007 ป้ายโฆษณาของ D&Gถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหน่วยงานมาตรฐานการโฆษณาแห่งสหราชอาณาจักร (Britain’s Advertising Standards Authority) ว่าเป็นโฆษณาที่แสดงถึงความรุนแรงต่อผู้หญิง
แต่สถานการณ์ร้ายแรงที่สุดที่ Dolce & Gabbana ถูกประนามน่าจะเป็นกรณี Domenico Dolce เรียกเด็กที่เกิดด้วยกรรมวิธี IVF หรือเด็กหลอดแก้วว่า ‘synthetic’ (สังเคราะห์) แถมยังบอกด้วยว่าการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมของคู่เกย์ผ่านการตั้งครรภ์แบบ IVF เป็น ‘chemical offsprings and rented uterus’ (เลือดเนื้อเชื้อไขของสารเคมีและมดลูกที่ถูกเช่า) ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนั้น Dolce ต้องออกมาขอโทษยกใหญ่เลยทีเดียว
ก็ต้องมารอดูค่ะว่า ‘ไฟแห่งความโกรธ’ ครั้งนี้ของชาวจีน จะแผดเผา Dolce & Gabbana มากน้อยแค่ไหน แล้วจะลุกลามไปยังชนชาติอื่นๆ ในเอเชียด้วยหรือเปล่า
ที่มา: www.theguardian.com
Photo: Instagram dolcegabbana
เรื่องที่เกี่ยวข้อง: “มาริโอ้-ใหม่” พลอยโดนดราม่าแบรนด์ดังเหยียดเชื้อชาติ
