ไบโพลาร์ เป็นโรคที่เกิดสารเคมีในสมองผิดปกติ ไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดู สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้คนรอบข้างไม่เข้าใจ ซึ่งจะมีอาการผิดปกติทางอารมณ์ 2 แบบ คือคึกคักผิดปกติ สลับกับอารมณ์ซึมเศร้า
โดยในช่วงที่เป็นภาวะคึกคัก จะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง นอนน้อยโดยที่ไม่รู้สึกเพลีย พูดเยอะ ความคิดแล่นเร็ว
ช่วงภาวะซึมเศร้า จะรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ มองทุกอย่างในแง่ลบ เก็บตัว มีความคิดอยากจะฆ่าตัวตาย
เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ควรจะต้องดูแล ใส่ใจ เพราะในช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการ โดยเฉพาะอาการ Mania หรือ ภาวะคึกคัก อาจจะสังเกตได้ง่ายมากกว่า เพราะผู้ป่วยมักจะแสดงออกถึงอาการที่ชัดเจน เพราะอาการเหล่านี้ จะแสดงออกมา ในระดับที่มากกว่าปกติ โดยควรจะรีบพาผู้ป่วยมาพบแพทย์ เพราะหากเข้าไปสู่ในช่วงภาวะซึมเศร้าแล้ว จะมีโอกาสเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะฆ่าตัวตาย
การอยู่ร่วมกับผู้ป่วยนั้น ขอให้เข้าใจว่า การกระทำ คำพูดต่างๆของผู้ป่วยที่แสดงออกมานั้น เป็นผลมาจากสารเคมีในสมองที่ผิดปกติ ไม่ผ่านกระบวนการ คิด หรือ ตัดสินใจ ฉะนั้น ไม่ควรจะไปถือสา หาความ หรือเก็บเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์
หลากคำถามคาใจ เพื่อเข้าใจผู้ป่วยไบโพลาร์
Q : ผู้ป่วยไบโพลาร์ สามารถอยู่ร่วมกับคนทั่วไปได้ไหม
A : คนที่มีโรคไบโพล่าร์ หรือเป็นโรคทางจิตเวชใดๆก็ตาม สามารถรักษาให้ดีขึ้นและใช้ชีวิตเป็นปกติได้ได้
Q : หากสงสัยว่าคนใกล้ตัวเป็นไบโพลาร์ สามารถพาไปรักษาได้ที่ไหน สิทธิบัตรทองครอบคลุมหรือไม่
A : สามารถพาผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลที่มีสิทธิ 30 บาทหรือประกันสังคม หากโรงพยาบาลไม่มีจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลจะส่งตัวต่อไปยังที่โรงพยาบาลที่มี
Q : คนไข้ปฏิเสธการไปรักษาที่โรงพยาบาล ควรทำอย่างไร
A :ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคจะปฏิเสธการรักษา คนใกล้ชิดอาจจะต้องสร้างแรงจูงใจในการไปพบแพทย์ ทำให้ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนป่วย หรือคนใกล้ชิดสามารถสอบถาม ขอคำแนะนำได้กับทางโรงพยาบาลที่จะพาไป
Q : คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า มีโอกาสเป็นไบโพลาร์ไหม
A: มีโอกาส แต่ในความเป็นจริง ทุกคนก็มีโอกาสเป็น ไม่ต่างจากโรคอื่นๆ แต่ผู้ป่วยบางคนจะแสดงอาการซึมเศร้าก่อน ต่อมาค่อยแสดงอาการเมเนีย การวินิจฉัยจึงเปลี่ยนจากโรคซึมเศร้า เป็นโรคไบโพลาร์
Q : ผู้ป่วยต้องกินยาตลอดชีวิต หรือไม่
A : การรับประทานยานั้น ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ ผู้ป่วยไม่ควรจะลดปริมาณยา หรือ หยุดกินยาเองโดยเข้าใจว่าอาการดีขึ้น ในผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต
ข้อมูลอ้างอิง
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย