มาแรงแบบฉุดแทบไม่อยู่จริงๆ สำหรับบริการสตรีมมิ่งยอดฮิต ‘Netflix’ ที่แถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ว่ามีสมาชิกใหม่เกือบ 7 ล้านราย พร้อมทุ่ม! ผลิตเนื้อหาคอนเทนต์ของตัวเองเพื่อสร้างมูลค่า แถมยังไม่หวั่นต่อกระแสการแข่งขันในธุรกิจสตรีมมิ่งที่กำลังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ในระหว่างการพรีเซนต์ผลประกอบการเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (16 ต.ค. 61) Netflix ได้แถลงต่อผู้ถือหุ้นว่า ไตรมาส 3 ของปีนี้บริษัทสามารถเพิ่มสมาชิกใหม่ได้เกือบ 7 ล้านราย มากกว่าที่คาดการณ์ไว้กว่า 2 ล้านราย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอย่างมากของบริษัท ส่งผลให้หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบ 14% ถือเป็นข่าวดีหลังบริษัทถูกกระหน่ำจากผู้ถือหุ้นกรณีไตรมาสก่อนมีลูกค้าน้อยกว่าที่คาดไว้ประมาณ 1 ล้านราย จนเป็นเหตุให้หุ้นดิ่งพรวดลง โดยคาดการณ์ว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 9.4 ล้านรายในช่วงปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม รีด ฮาสติ้งส์ CEO ของ Netflix ระบุว่า ในอนาคตบริษัทจะพุ่งเป้าไปยังสมาชิกแบบชำระเงิน แต่ขณะนี้ผลรวมสมาชิกที่ออกมานั้นมีผู้ใช้งานแบบ ‘ทดลองใช้ฟรี’ รวมอยู่ด้วย ซึ่งหากไม่มีสมาชิกกลุ่มนี้ บริษัทจะมีผู้สมาชิกประมาณ 130 ล้านคนเท่านั้น
ทั้งนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินการผลักดันให้มีสมาชิกทั่วโลกเพิ่มขึ้น โดย เดวิด เวลล์ส หัวหน้าฝ่ายการเงินเคยกล่าวในการประชุมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า บริษัทมุ่งมั่นจะให้มีคอนเทนต์ที่เป็นภาษาต่างประเทศประมาณ 80 ชิ้นในปีนี้ และมีหลายรายการที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ เช่น “Dark” ของเยอรมนี และ “Sacred Games” ของอินเดีย เป็นต้น
โดยคาดว่ายอดรวมของคอนเทนต์จะมีมากกว่า 700 รายการภายในสิ้นปี ซึ่งช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวหนังโรแมนติกคอเมดี้ 6 เรื่องบนแพลตฟอร์ม และสมาชิกมากกว่า 80 ล้านแอคเคาท์จะเลือกเปิดดูอย่างน้อยหนึ่งรายการ หนึ่งในนั้นคือ “To All the Boys I’ve Loved Before” หนังที่มียอดวิวมากที่สุดตลอดกาลของบริษัท
นอกจากนี้ ‘Roma’ หนังของผู้กำกับ Alfonso Cuarón ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในเทศกาลหนังฮอลลีวู้ดด้วย โดยจะเปิดตัวพร้อมกันในโรงภาพยนตร์และในบริการสตรีมมิ่ง ซึ่งคอนเทนต์ทั้งหมดที่สร้างสรรค์ขึ้นนี้มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่เรียกได้ว่ามหาศาล ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีกระแสเงินสดอิสระติดลบ 3 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ และคาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันในปีหน้า (งบกระแสเงินสดอิสระ คือกระแสเงินสดที่เหลือให้แก่ผู้ลงทุนหลังจากลงทุนในสินทรัพย์ที่บริษัทใช้ในการดำเนินงานแล้ว)
แม้จะเคยประกาศไว้เมื่อปีที่แล้วว่าบริษัทจะใช้เงินประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์ในการจัดทำรายการต่างๆ ในปีนี้ แต่นักวิเคราะห์จาก Cowen ประเมินว่า ยอดเงินทั้งหมดที่บริษัทนี้จะใช้จ่ายภายในสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 13 พันล้านเหรียญ
นอกจากผลประกอบการที่อยู่ในช่วงขาขึ้นแล้ว ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งรายนี้ก็กำลังพัฒนาโปรแกรมเพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการเจ้าอื่นๆ ที่กำลังทยอยก้าวเข้าสู่ตลาดสตรีมมิ่งด้วย โดยเฉพาะ Disney (DIS) ซึ่งกำลังจะเปิดตัวบริการสตรีมมิ่งในปีหน้า รวมไปถึง HBO, Turner และ Warner Bros ภายใต้แบรนด์ WarnerMedia ก็เพิ่งประกาศว่ากำลังดำเนินการเกี่ยวกับบริการสตรีมมิ่งด้วย แถมยังมีคู่แข่งเจ้าเก่าในตลาดอย่าง Amazon และ Google parent Alphabet’s (GOOG) YouTube เป็นผู้ท้าชิงรายสำคัญด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้ให้ความสนใจกับคู่แข่งรายใดมากนัก และยังไม่กังวลด้วยว่าการแข่งขันครั้งใหม่จะกระทบต่อ Libraly หนังของตัวเอง แม้ Disney จะบอกว่ามีแผนดึงเนื้อหากลับไปก่อนการเปิดตัวบริการสตรีมมิ่งก็ตาม เนื่องจากการนำเสนอเนื้อหาที่สร้างด้วยตัวเองนั้นมีคุณค่ามากกว่าการขอใช้เนื้อหาจากสตูดิโออื่น ๆ มากนัก แต่บริษัทก็ยังคงเห็นโอกาสที่จะทำงานร่วมกับคู่แข่งเช่นกัน
“เราเป็นผู้ซื้อที่เชื่อถือได้มาก แม้ว่าสตูดิโออื่น ๆ จะเปิดบริการของตัวเอง แต่พวกเขาก็อาจพบว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าจากการลงทุนในบางเนื้อหากับเรา การขายให้เราได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผลบวกมากสำหรับพวกเขามาหลายปีแล้ว” เท็ด ซารันดอส หัวหน้าฝ่ายคอนเทนต์ของ Netflix กล่าวด้วยความมั่นใจ
ดูท่าทางสมรภูมิ ‘สตรีมมิ่ง’ จะดุเดือดมากขึ้นในปีหน้า แต่ก็คาดว่าน่าจะเป็นผลดีกับผู้บริโภคอย่างเรา เพราะไม่เพียงจะมีตัวเลือกมากขึ้นเท่านั้น โปรโมชั่นของแต่ละเจ้าก็อาจจะน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน … ต้องรอติดตามกันต่อไป
ที่มา: www.edition.cnn.com