เคยได้ยินคำพูดหนึ่งที่บอกว่า “ความสุขสามารถสร้างได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเราเอง” คำนี้ยังสามารถใช้ได้ตลอดเวลา แค่ปรับเปลี่ยน Self-Talk (การพูดกับตัวเอง) ที่มีต่อตนเอง ด้วยการไตร่ตรองและมีสติตลอดเวลา เพียงแค่นี้โลกทั้งใบของเราก็จะเปลี่ยนไป
หากคุณคิดว่าคุณเป็นคนที่ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ, กังวลว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี รวมไปถึงสงสัยว่าทำไมชีวิตคนอื่นดูประสบความสำเร็จกว่าเรา นั่นอาจจะเกิดขึ้นเพราะ “คุณยังขาดความมั่นใจในตัวเอง” วิธีแก้อย่างง่ายก็คือ Self-Talk หรือการพูดกับตัวเอง ยิ่งคุณพูดกับตัวเองแบบไหน คุณจะเป็นอย่างที่คุณพูด
จากหลาย ๆ งานวิจัยด้านจิตวิทยาบอกไว้ว่า การมี “บทสนทนากับตัวเอง” จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ เพิ่มความจำ สมาธิ รวมถึง 5 วิธีการพูดกับตัวเองที่ ไบร์ทออนไลน์ นำมาให้คุณอ่านก็ได้รับการยืนยันจากนักจิตวิทยาแล้วว่า ยิ่งเราพูดถึงตัวเองเชิงลบ ยิ่งมีผลต่อตัวเอง จนกลายเป็นเรื่องจริงในที่สุด เพราะการพูดเชิงลบกับตัวเองนั้นส่งผลต่อความรู้สึกรวมไปถึงการทำงานของคุณ เช่น คนที่คิดว่า “ตัวเองเป็นคนที่น่าอึดอัดและไม่มีใครอยากคุยด้วย” เพื่อเลี่ยงความอึดอัดจึงลดการคุยและความจำเป็นในการติดต่อกับผู้อื่น ยิ่งเป็นแบบนั้นก็เหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกต้อง
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนวิธีคุยกับตัวเอง หรือการลองทำอะไรใหม่ ๆ ก็เป็นอีกทางที่จะจัดการกับ การพูดเชิงลบที่มีต่อตัวคุณเอง
1.ไตร่ตรองคำพูดเชิงลบที่มีต่อตัวเอง
เมื่อคุณได้รับอีเมลหรือข้อความจากเจ้านายที่บอกว่า “ต้องการพบคุณด่วน” ความคิดแรกของคุณมักจะคิดว่าคุณจะถูกไล่ออก หรือคิดว่าจะได้ขึ้นเงินเดือน หลายครั้งที่ความคิดจะออกมาอัตโนมัติ แต่ก็เป็นแค่ความคิดอันดับต้น ๆ ที่อยู่ในหัว โดยขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อน ดังนั้นคุณจึงจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการทบทวนความคิดก่อน เพื่อที่แยกแยะเรื่องไม่จริงที่จะส่งผลต่อตัวเอง
2.มองหาหลักฐานยืนยันว่าความคิดตัวเองเป็นความจริง
เพียงเพราะคุณคิดว่าบางอย่างไม่เป็นจริง ในความเป็นจริงจึงทำให้ความคิดส่วนใหญ่มักกลายเป็นความเห็นมากกว่าความจริง อยากให้คุณลองถามตัวเองก่อนว่า “ข้อไหนบ้างที่เป็นเรื่องจริง” เช่น การคิดมากจากอีเมลของเจ้านาย (จากข้อ1) แล้วข้อไหนคือหลักฐานที่โดนไล่ออก การหาหลักฐานที่มาสนับสนุนความคิดของตัวเองอาจจะดีขึ้นก็ได้ เช่น คุณอาจจะหาสาเหตุที่ไม่สบายติดต่อกันหลายวัน เป็นต้น
3.มองหาหลักฐานยืนยันว่าความคิดตัวเองไม่เป็นความจริง
เมื่อเราหาข้อยืนยันของความจริงแล้ว มาหาด้านที่ไม่น่าเป็นจริงบ้าง บางครั้งตำแหน่งที่คุณอยู่อาจเป็นหนึ่งในงานที่ยากที่สุดขององค์กร และคุณก็รู้ดีว่าเจ้านายไม่มีนโยบายปลดกลางอากาศ หรือว่าคุณอาจจะถูกเจ้านายเรียกคุยส่วนตัวและไม่เคยทำพลาดจนถึงขั้นไล่ออก หากคุณหาหลักฐานที่มันตรงข้ามกัน ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติของตำแหน่งที่จะถูกปรับให้สูงขึ้น
ยกตัวอย่าง ถ้าเกิดเพื่อนร่วมงานของคุณพูดว่า “ฉันกำลังจะถูกไล่ออก” ให้คุณลองถามตัวเองว่าคุณจะพูดกับเพื่อนที่มีปัญหานี้อย่างไร คุณอาจจะปลอบใจเขาว่าไม่เป็นความจริงมากกว่าซ้ำเติม ยึดคติแค่ว่าให้คนอื่นรู้สึกดีเหมือนที่คุณต้องการให้เกิดกับตัวเอง
4.ปรับความคิดของคุณให้เป็นเรื่องจริง ไม่มโน
เมื่อคุณได้คิดอย่าถี่ถ้วนถึงเหตุและผลของการเกิดทั้งสองฝั่งแล้ว จะมองเห็นถึงทางที่เป็นความจริงมากขึ้น เช่น “จริง ๆ แล้วที่เจ้านายอยากพบคุณอาจจะเป็นเพราะสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่เรื่องไล่ออกก็ได้” การคิดแบบนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นอะไรที่เป็นความจริงมากขึ้น อย่าโน้มน้าวตัวเองด้านบวกมากเกินไปเพราะมันก็ใช้ไม่ได้ผลเหมือนกัน แต่เป้าหมายคือการทำให้มันเป็นความจริง
5.ถามตัวเองว่ามันจะแย่แค่ไหนถ้าความจริงมันเป็นความจริง
บางครั้งวิธีที่ดีที่สุดในการคิดไปเองก็คือการเผชิญหน้ากับปัญหานี้ ลองถามตัวเองดูว่าถ้าเกิดโดนไล่ออกจริง ๆ จะทำอย่างไร ไม่ว่าจะเลือกสมัครงานอื่นรอ, หางานสำรอง หรือจะทำธุรกิจส่วนตัว ยังไงก็มีตัวเลือกรองรับอยู่แล้ว การโดนไล่ออกจากงานไม่ใช่จุดจบของคุณ เตือนใจไว้ว่าเดี๋ยวคุณก็โอเค นั่นจะช่วยลดความกังวลและความกลัวกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา
เทคนิกการเปลี่ยนความคิดเชิงลบของตัวเอง
คุณอาจไม่เคยหาวิธีเลิกนิสัยคิดลบของตัวเอง วิธีอย่างง่ายก็คือการตระหนักว่าการคิดไปก่อนด้วยตัวเองนั้นอาจจะไม่ถูกเสมอไป การทำเช่นนี้จะทำให้คุณได้รับผลกระทบน้อยลงจากความกังวลที่ไม่มีประโยชน์กับตัว ยิ่งคุณเปลี่ยนความคิดเชิงลบขอคุณได้มากเท่าไรก็จะเข้าถึงความสามารถของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ตามคำพูดที่ว่า “ถ้าคุณยังทำบางสิ่งที่คุณทำอย่างเสมอ คุณก็จะยังคงเป็นคน ๆ นั้นที่คุณเป็นอยู่เสมอมา” ถ้าสิ่งที่ทำมันดีอยู่แล้วและส่งผลดี ๆ ให้กับตัวเอง ก็ทำมันต่อไป หรือจะปล่อยให้ตัวเองแย่ลงด้วยความคิดแย่ ๆ พวกนั้น
ที่มา : /www.psychologytoday.com
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ
สูบบุหรี่เท่าไร เสี่ยงเป็น มะเร็งปอด