ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกประกาศห้ามผลิตและนำเข้าไขมันทรานส์ เพื่อลดความเสี่ยง โรคหลอดเลือดหัวใจ ให้กับประชาชน เนื่องจากมีงานวิจัยยืนยันแล้วว่า ไขมันทรานส์เป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาบอกว่า การออกประกาศห้ามผลิตและนำเข้าไขมันทรานส์ เป็นเพียงแค่การลดปัจจัยเสี่ยงปัจจัยหนึ่งที่เป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจเท่านั้น แต่ความจริงประชาชนยังต้องควบคุมอีก 7ปัจจัยเสี่ยงควบคู่กันไปด้วย จึงจะหลีกเลี่ยงภาวะโรหลอดเลือดหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นคือ
1.บุหรี่ มีงานวิจัยชัดเจนว่า ผู้ที่สูบบุหรี่ 2 ซองต่อวัน จะมีความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดหัวใจ ในผู้ชายสูงเป็น 3 เท่า และในผู้หญิงสูงเป็น 6 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนไม่สูบบุรี่ หรือคิดเป็นร้อยละ 36 ของปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
2.ไม่ออกกำลังกาย งานวิจัยพิสูจน์แล้วว่าคนที่ไม่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงต่อภาวะโรคหลอดเลือหัวใจจะเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ
3.อาหาร ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีความเสี่ยงต่อโรค โดยเฉพาะเนื้อแดง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจถึงร้อยละ 29 ขณะเดียวกันต้องกินผักและผลไม้ควบคู่ เพราะมีผลการศึกษาชี้ว่า หากคนเราลดการกินผักและผลไม้จะทำให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจถึงร้อยละ 14 เช่นกัน
4.น้ำหนัก ต้องควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับร่างกาย ไม่ให้เกิดภาวะอ้วน
5.ควมดันโลหิตสูง หากคนที่มีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่แล้วต้องควบคุมโดยการกินยาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ
6.น้ำตาล โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมปริมาณน้ำตาล
7.ไขมัน ไม่แต่เฉพาะไขมันทรานส์ที่เป็นตัวการสำคัญเท่านั้น แต่รวมถึงไขมันอื่นเป็นส่วนเกินต่อร่างกาย
“การงดบริโภคไขมันทรานส์ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเลย เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่ก่อให้เกิดโรคนี้ ดังปัจจัยเสี่ยง 7 ข้อที่กล่าวข้างต้น หากประชาชนเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวลงได้ จำนวนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจก็จะลดน้อยลงด้วย”
ส่วนมาตรการต่อไปเพื่อดูแลสุขภาพผู้บริโภค ผศ.นพ.ธีระ กล่าวว่า ที่กำลังเป็นปัญหาในกระแสสังคมโลกขณะนี้คือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCD เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต ซึ่งประเทศไทยมีทิศทางเหมือนประเทศตะวันตก แนวเศรษฐกิจทุนเสรีนิยม ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจอาหารที่เสี่ยงต่อการก่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเติบโต จึงจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุม อาทิ การควบคุมปริมาณน้ำตาลและเกลือในอาหาร เป็นต้น และที่ผ่านมามีการดำเนินการบ้างแล้ว รวมถึงการสร้างทางเลือกอาหารสุขภาพเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนในประเทศมีสุขภาพที่ดี