บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เครือข่าย นายเฉินหยวนไข่ กลางกรุงพนมเปญ พบคนไทยร่วมขบวนการและได้เข้าช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกบังคับให้กระทำผิดกฏหมาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว พร้อมเจ้าหน้าที่ของทางประเทศกัมพูชา บุกตรวจค้น และจับกุมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งสิ้น 3 จุด โดยจุดแรก พลตำรวจตรี สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว
ได้นำกำลังตำรวจไทย และตำรวจกัมพูชา เข้าตรวจสอบโรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่ง กลางกรุงพนมเปญ จากการตรวจค้นพบ อุปกรณ์ และคนเฝ้าดูแล ชาวกัมพูชา จำนวน 2 คน โดยตำรวจพบอุปกรณ์ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องแปลงสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ เอกสารบัญชีรายชื่อ ซึ่งถูกบันทึกไว้ว่ามีการโทรเข้าออกจำนวนมาก
ต่อมาได้ขยายผล เข้าจุดที่ 2 ซึ่งห่างจากจุดแรกประมาณ 3 กม. เป็นบ้านเช่าหรูขนาดใหญ่ พบผู้ต้องหา ชาวไต้หวัน 4 คนคนไทย 25 คน และกำพูชา 3 คน พร้อมอุปกรณ์ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องแปลงสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ เอกสารบัญชีรายชื่อ ซึ่งถูกบันทึกไว้ว่ามีการโทรเข้าออก คล้ายกับจุดแรกอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน
จุดที่สาม เข้าตรวจสอบบ้านหลังหนึ่ง ณ เมืองกัมปงโสมหรือเมืองพระสีหนุ พบผู้ต้องหาชาวไต้หวัน2คน ชาวไทย1 คน โดย 2ใน3คน มีหมายจับอยู่ในประเทศไทยด้วย
จากการตรวจค้นพบอุปกรณ์ในลักษณะเดียวกันพร้อมเหยื่อซึ่งเป็นคนไทยอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้พบว่าคนไทยที่ถูกจับกุมนี้ ซึ่งกำลังทำหน้าที่โทรศัพท์หลอกเหยื่อ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย โดยเบื้องต้นพบว่าคนไทยทั้งหมด มีทั้งส่วนที่เป็นผู้ร่วมขบวนการ โดยสมัครใจ และบางส่วนก็ถูกบังคับให้ทำหน้าที่ โดยกักขังไว้ ทั้งให้เสพสารเสพติด บ้างก็ทำร้ายร่างกายเมื่อมีการขัดขืน
รายงานว่าจากแนวทางการสืบสวนพบว่า ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวเป็นเครือข่ายของนายเฉิน หยวน ไข่ ชาวไต้หวัน และกลุ่มชาวมาเลเชีย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยตั้งถิ่นฐานที่ประเทศไทย ก่อนที่จะถูกทางการไทยจับกุมตัวได้ ต่อมาได้รับการประกันตัวในชั้นศาล ซึ่งหลังจากการได้ประกันตัวได้หลบหนีออกนอกประเทศเพื่อหลบหนีการจับกุม ก่อนมาตั้งฐานที่มั่นในกรุงพนมเปญ และกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อทำคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงชาวไทย
ทั้งนี้ พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ เผยว่า กัมพูชาเป็นประเทศต้นทางที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้ตั้งฐานปฏิบัติการ โดยร่วมมือกับชาวไต้หวัน จีนและมาเลเซีย บังคับคนไทย มาเป็นพนักงาน เพื่อหลอกลวงคนไทยด้วยกัน หากใครปฏิเสธก็จะกักขังและทำร้ายร่างกาย ซึ่งพฤติการณ์ไม่ต่างจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศมาเลเซีย