“ม็อบเสื้อกั๊กเหลือง” ฝรั่งเศสบานปลาย ประธานาธิบดี “มาครง” มอบนายกรัฐมนตรีเจรจา ย้ำไม่เปลี่ยนใจนโยบายปรับขึ้นค่าเชื้อเพลิง ยืนยันดำเนินการตามกฎหมาย
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่า ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ได้เป็นประธานในการประชุมฉุกเฉินคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบเลลีเซ ในกรุงปารีส เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในประเทศซึ่งกำลังตึงเครียดอย่างหนัก จากการที่รัฐบาลมาครงปรับขึ้นราคาเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ทศวรรษ และยืนยันจะปรับเพิ่มราคาน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซลอีกในปีหน้า สร้างความไม่พอใจอย่างหนักให้แก่ประชาชน กลายเป็นการประท้วงและจลาจลอย่างหนักในกรุงปารีสและเมืองใหญ่หลายแห่ง ซึ่งการชุมนุมครั้งนี้ถูกเรียกว่า “แนวร่วมเสื้อกั๊กเหลือง” ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งก่อนการประชุม มาครงได้ลงพื้นที่ช็องเซลีเซด้วยตัวเอง เพื่อสำรวจความเสียหายของสถานที่และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย แต่การปรากฏตัวของผู้นำหนุ่มวัย 40 ปีในครั้งนี้ ได้รับงเสียงร้องตะโกนด่าทอเป็นระยะจากประชาชนที่เฝ้ารออยู่ตลอดเส้นทาง
ขณะที่ทำเนียบเลลีเซออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมา ว่ามาครงมอบหมายให้นายกรัฐมนตรี เอดูอาร์ ฟิลิป เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายรัฐบาลในการจัดการเจรจากับแนวร่วมเสื้อกั๊กสีเหลือง ซึ่ง นายฟรองซัวส์ เดอ รูจี รมว.กระทรวงสิ่งแวดล้อม เคยลงพื้นที่พบกับกลุ่มผู้ประท้วงในกรุงปารีสครั้งหนึ่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ไม่ได้ความคืบหน้าอะไรที่ดี และพบว่าแนวร่วมการชุมนุมไม่มีแกนนำที่ชัดเจนอีกทั้งผู้ร่วมการประท้วงส่วนใหญ่ต้องการเจรจากับมาครงโดยตรงเท่านั้น
ด้าน นายคริสตอฟ คาสตาเนอร์ รมว.กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศส กล่าวว่า การชุมนุมประท้วงครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความไม่สงบและความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินสาธารณะอย่างชัดเจน และเป็นมืออาชีพ โดยมีรายงานอาคารในกรุงปารีสถูกเผาทำลายอย่างน้อย 6 แห่งและรถยนต์มากว่า 100 คันถูกเผาหรือทุบทำลาย ส่วนจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะเฉพาะในเมืองหลวงอยู่ที่ 133 คน จากทั้งหมด 263 คนทั่วประเทศ ในจำนวนนี้ 23 คนเป็นเจ้าหน้าที่ จำนวนผู้ถูกจับกุมอยู่ที่ 412 คนเฉพาะในกรุงปารีส และจำนวนผู้เสียชีวิตจากทั่วประเทศอยู่ที่อย่างน้อย 3 คน
ทั้งนี้ มาครงยังคงสงวนท่าทีต่อประเด็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยืนยันว่ารัฐบาลจะ ดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบและเรียกคืนความเชื่อมั่นจากทุกฝ่าย พร้อมทั้งย้ำว่าจะไม่เปลี่ยนใจ และยกเลิกนโยบายขึ้นราคาเชื้อเพลิง เพราะต้องการให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานสะอาดเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งการชุมนุมประท้วงต่อต้านมาครงได้บานปลายไปเป็นประเด็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มด้วย จากที่เห็นว่ามาครงให้ความสำคัญกับนายทุนมากกว่าประชาชน ตรงข้ามกับที่เคยหาเสียงไว้