เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา นายสับ วาปี พยานปากเอก คดีครูจอมทรัพย์ขับรถชนคนตาย เดินทางเข้ามอบตัวชี้แจงรายละเอียดกับ พลตำรวจตรี สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์กรณีที่ ถูกกล่าวหาว่าแจ้งความเท็จ หลังเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน สภ.นาโดน เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2557 ว่าเป็นคนขับรถชน นายเหลือ พ่อบำรุง ตาย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548
นายสับ ให้การว่า ถูกนายสุริยา นวนเจริญ หรือ ครูอ๋อง ว่าจ้าง เป็นเงินจำนวน 400,000 บาทให้รับว่าเป็นคนขับรถชนคนตาย แต่ในวันนั้นตนเองนอนอยู่ที่บ้านพักที่จังหวัดมุกดาหาร หลังทราบข่าวว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งความดำเนินคดีจึงขอเข้ามอบตัว กับ พ.ต.อ.เกษม มุทาพร ผู้กำกับสภ.เรณูเพื่อเปิดเผยรายละเอียด พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลกรณีรับสารภาพเป็นผู้ขับรถชนคนตาย
การเข้ามอบตัวของนายสับ ครั้งนี้ หลังจากมีการเปิดเผยคำพิพากษาศาลฎีกาเห็นว่า จากการสืบพยานของฝ่ายผู้คัดค้านหลายปาก มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า มีขบวนการว่าจ้างให้นายสับ รับสมอ้างว่า เป็นคนขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน 56 มุกดาหาร ไปเฉี่ยวชนรถจักรยานของนายเหลือ ผู้ตาย โดยเสนอค่าตอบแทนให้นายสับ 4 แสนบาท แต่นายสับ เปลี่ยนใจไมทำตามที่ตกลง จึงมีการไปติดต่อนายเสริฐ รูปสอาด ให้มารับสมอ้างเป็นคนขับรถกระบะแทนนายสับ โดยเสนอเงินให้นายเสริฐ 200,000บาท แต่อาจเป็นเพราะนายเสริฐ ขับรถยนต์ไม่เป็น หรือนายสับ เปลี่ยนใจกลับมารับสมอ้างอีกครั้ง จึงมีการดำเนินการให้นายสับมารับสมอ้างว่า เป็นคนขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน56 มุกดาหาร ไปเฉี่ยวชนรถจักรยานของนายเหลือ ผู้ตาย
https://youtu.be/FvWoVgNC568
คำเบิกความของนายสับ วาปี ในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดี ที่อ้างว่าในวันเกิดเหตุนายสับได้ขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บค56 มุกดาหาร ออกจากบ้านในตอนเช้าเพื่อตระเวณหาซื้อไม้ยูคาลิปตัส ไม่ปรากฏรายละเอียดจะไปหาซื้ออย่างไร ที่ไหน จากใคร ไม่ปรากฏรายชื่อบุคคลหรือสถานที่ที่สามารถตรวจสอบได้
ศาลฎีกาเห็นว่าจึงดูเลื่อนลอย อีกทั้งเมื่อหาซื้อไม้ทั้งวันไม่ได้ ก็น่าจะขับรถกลับบ้านก่อนค่ำ การที่นายสับ ยังคงขับรถตระเวนหาซื้อไม้จนมืดค่ำ จึงขับรถกลับและเกิดอุบัติเหตุเมื่อเวลา 2 ทุ่ม ที่ อ.เรณูนคร จังหวัดนครพนม ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักของนายสับที่ อ.เมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร อีกไม่น้อยกว่า 60 กม. จึงดูไม่สมเหตุผล
ส่วนการที่นายสับนำเงิน 170,000 บาท ไปชดใช้ให้กับบุตรผู้ตายในคดีแพ่งที่บุตรผู้ตายเป็นโจทก์ฟ้องนางจอมทรัพย์ เป็นจำเลย เรียกค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลฎีกา เห็นว่า ยังมีข้อน่าสงสัย ประเด็นเงินที่นายสับนำไปชดใช้ให้กับบุตรผู้ตาย เป็นเงินของนายสับหรือไม่ จึงไม่ใช่หลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่านายสับเป็นผู้กระทำความผิดขับรถชนนายเหลือ จนเสียชีวิต