งานวิจัยร่วมระหว่างออสเตรเลีย-จีน เกี่ยวกับ โควิด19 และระดับความชื้นในอากาศ ที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 18 ส.ค. แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ที่มีความชื้นระดับต่ำกว่านั้นสัมพันธ์กับอัตราการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด19 ในระดับที่สูงขึ้น
ในซิดนีย์ที่อากาศที่แห้งกว่าในหลายภูมิภาค มีส่วนเชื่อมโยงกับจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ตรวจพบความเชื่อมโยงเดียวกันนี้ในสภาพอากาศอื่นๆ เช่น ฝน อุณหภูมิ และลม
งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์โรคอุบัติใหม่และโรคข้ามพรมแดน (Transboundary and Emerging Diseases) คาดการณ์ว่าหากความชื้นลดลง 1% ผู้ป่วยโรคโควิด19 อาจเพิ่มขึ้น 7-8% และหากความชื้นลดลง 10% การติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
นักวิจัย ออสเตรเลีย สุดเจ๋ง! คิดค้นเทคโนโลยี กรองน้ำทะเลดื่ม ใน 30 นาที
ศาสตราจารย์ไมเคิล วอร์ด นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ (University of Sydney) ร่วมมือกับเซียวซวง และจางจื้อเจี๋ย จากสถาบันสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (Fudan University School of Public Health) ซึ่งเป็นสถาบันพันธมิตรในนครเซี่ยงไฮ้ของจีน เพื่อดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ โดยเป็นการวิจัยครั้งที่สองที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสภาพอากาศและโรคโควิด19 ในออสเตรเลีย ต่อจากงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ดำเนินการในจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ฉบับแรก! จีน จดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา วัคซีนโควิด 19
วอร์ดเผยว่า ความสอดคล้องระหว่างงานวิจัยทั้งสองได้เพิ่มความมั่นใจว่าความชื้นเป็นปัจจัยสำคัญในการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 และอากาศแห้งมีแนวโน้มจะเอื้อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 นั่นหมายความว่าเวลาและสถานที่เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวทำให้ตระหนักถึงโอกาสที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคตามฤดูกาล และสนับสนุนให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส โดยวอร์ดเสริมว่าผลการวิจัยนั้นไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึงซะทีเดียว เนื่องจากเมื่อความชื้นลดต่ำลง อากาศจะแห้งยิ่งขึ้น และทำให้ละอองลอยมีขนาดเล็กลง
หมอธีระ ชี้ อย่าตามรอย ญี่ปุ่น เวียดนาม ออสเตรเลีย ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน โควิดระบาดระลอกสอง
โดยวอร์ดอธิบายว่า เมื่อจามและไอ ละอองลอยขนาดเล็กที่มีเชื้อไวรัสเหล่านี้จะลอยอยู่ในอากาศได้นานขึ้น ซึ่งทำให้ผู้อื่นมีโอกาสสัมผัสกับละอองดังกล่าวมากขึ้น ส่วนเมื่ออากาศชื้นและละอองลอยมีขนาดใหญ่และหนักขึ้น มันจะตกลงมากระทบพื้นผิวได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยระบุว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาข้อสรุปที่แน่ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความชื้นและการแพร่กระจายของไวรัส ทั้งยังช่วยกำหนดรูปแบบการรับมือด้านสาธารณสุขได้ดียิ่งขึ้น