นายฌอง กาส์เท็กซ์ นายกรัฐมนตรีของ ฝรั่งเศส ได้ประกาศยกระดับเตือนภัยคุกคามขั้นสูงสุด หลังเกิดเหตุคนร้ายไล่แทง และฆ่าตัดคอผู้คนภายในโบสถ์โนเทรอดามในเมืองนีซ เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 63 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย เป็นชายคนอายุ 55 ปีถูกฆ่าปาดคอ, หญิงอายุราว 44 ปีถูกคนร้ายแทงตามร่างกายหลายแผล และหญิงวัย 60 ปี ที่ถูกคนร้ายฆ่าตัดคอ หลังเกิดเหตุตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายไว้ได้ หลังคนร้ายได้พยายามหลบหนี ซึ่งผู้ก่อเหตุรายนี้คือนายบราฮิม โออิสซาอุย วัย 21 ปี ผู้อพยพชาวตูนีเซีย ที่เดินทางเข้ามาในฝรั่งเศสเมื่อต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่สำนักอัยการต่อต้านก่อการร้ายฝรั่งเศสได้สอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และจัดให้เหตุโจมตีครั้งนี้เป็นเหตุก่อการร้าย เบื้องต้น ตำรวจเชื่อว่าผู้ก่อเหตุลงมือเพียงลำพัง แต่ยังไม่ระบุแรงจูงใจในการก่อเหตุ อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่กลุ่มประเทศมุสลิมหลายประเทศประท้วงต่อต้านฝรั่งเศสเพื่อแสดงความไม่พอใจที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศสออกมาปกป้องการวาดการ์ตูนล้อเลียนทางศาสนาอิสลามของนิตยสารชาร์ลี เอ็บโดว่าเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งทำให้ชาวมุสลิมโกรธแค้น และเรียกร้องให้มีการบอยคอยสินค้าฝรั่งเศส
ด้านประธานาธิบดีมาครง ผู้นำฝรั่งเศสได้เดินทางไปยังพื้นที่เกิดเหตุแล้ว พร้อมกับประกาศกร้าวว่าฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนให้กับความหวาดกลัวใดๆ และจะเตรียมเพิ่มกำลังทหารประจำการตามพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศจาก 3,000 นายเป็น 7,000 นาย
ทั้งนี้ การประกาศยกระดับภัยคุกคามขั้นสูงสุดนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่ฝรั่งเศสได้ประกาศล็อคดาวน์ทั่วประเทศเป็นครั้งที่ 2 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด19 หลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง