บิ๊กแดงแทงกั๊กปฏิวัติ เตือนการเมืองอย่าสร้างความแตกแยกอีก ชี้พลเอกประยุทธ์เสียสละตัดสินใจปฏิวัติปี 57
พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงในวาระพิเศษ ซึ่งนับเป็นครั้งแรก สำหรับการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน อย่างเป็นทางการ ว่า ครั้งนี้เป็นการมอบนโยบายให้กับผู้บังคับหน่วย ระดับกองพัน โดยนโยบายส่วนใหญ่ สอดคล้องกับ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกคนก่อน ซึ่งได้วางรากฐานที่แข็งแกร่ง มั่นคง โดยเฉพาะสถานการณ์ข้างหน้าที่กองทัพบกจะต้องเผชิญในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะปฏิทินการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งกองทัพบกได้ทำความเข้าใจกับกำลังพลโดยจะต้องแยกแยะภารกิจในฐานะกองทัพบกและเป็นทหารของชาติทหารของประชาชน พร้อมที่จะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ กกต. ตั้งแต่การรักษาความปลอดภัยและการให้ความรู้ประชาชน
พลเอกอภิรัชต์ ย้ำว่า กองทัพบกจะสนองตอบนโยบายของรัฐบาลในทุกรัฐบาล ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นก็ตาม แม้แต่รัฐบาลปัจจุบัน เกี่ยวกับโครงการประชารัฐหรือไทยนิยมยั่งยืน คล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ตนเองได้สั่งการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ กกล.รส. ระมัดระวัง โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชน โดยยืนยันว่าทหาร สวมหมวกสองใบ คือ คสช. และกองทัพ ดังนั้นต่อจากนี้จะต้องระมัดระวังไม่ให้การเมืองเข้ามาใช้ประโยชน์ จากการช่วยเหลือประชาชน เพราะกองทัพช่วยเหลือประชาชนไม่ได้ต้องการที่จะหาเสียง ในฐานะทหารอาชีพ ซึ่งจะต้องแยกแยะระหว่างภารกิจการเมืองกับภารกิจของกองทัพ โดยเฉพาะจุดยืนของกองทัพ เพราะเราจะถูกจับตามอง โดยย้ำกองทัพและคสช. คือเนื้อเดียวกัน ขอไม่ต้องห่วง เพราะจุดยืนการทำงานของกองทัพ มีทิศทางที่ชัดเจน และไม่ว่าใครที่จะขึ้นมาเป็นนาย ตนเองก็พร้อมที่จะปฏิบัติงาน
“เรื่องของความเป็นกลางนั้น ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคล แต่ก็ต้องขอความเป็นธรรมด้วย เพราะเราเป็นทหารอาชีพ ผ่านวิกฤติทางการเมือง และการทหารมาทุกยุคทุกสมัย ประสบการณ์ที่ตัวเองเก็บเกี่ยวมาตลอดระยะเวลาที่รับราชการ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนก้าวขึ้นมา เป็นผู้บัญชาการทหารบก ส่วนที่มีการจับตามองว่า กองทัพจะวางตัวอย่างไร ภายหลังพลเอกประยุทธ์ ประกาศลงสู่การเมือง ก็ขึ่นอยู่กับแต่ละมุมมอง และการที่ตนเองไปพบพลเอกประยุทธ์ มีคนมองว่าตนเองไม่เป็นกลาง แต่ต้องเข้าใจว่าพลเอกประยุทธ์นั้นเป็นหัวหน้ารัฐบาล” พลเอกอภิรัชต์ กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในสถานการณ์ข้างหน้าหากเกิดวิกฤติ กองทัพจะออกมาปฏิวัติอีกหรือไม่ พลเอก อภิรัชต์ ตอบว่าตนขอชี้แจงว่า สื่อมวลชนได้บันทึกภาพทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่อย่าให้เป็นเพียงภาพที่เกิดขึ้นเท่านั้นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ถูกบันทึกอยู่ในสมองและจิตใจของคนไทยทุกคนที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายคนไทยออกมาตีกันยิงกันฆ่ากัน เรื่องที่ผ่านมาไม่มีใครอยากจดจำทหารถูกรัฐบาลสั่งการให้ออกมาควบคุมความสงบเรียบร้อย ซึ่งเราทำด้วยหัวใจ ไม่ได้คิดแบบนักการเมืองว่าจะเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อมั่นว่าพลเอกประยุทธ์ก็ไม่ได้คิดแบบนี้เช่นกัน แต่ต้องเสียสละ และถ้าวันนั้นพลเอกประยุทธ์ ไม่ตัดสินใจบ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้นซึ่งแท้จริงแล้วคนที่ตัดสินใจก็ไม่ใช่พลเอกประยุทธ์แต่เป็นประชาชน หวังใจว่าเหตุการณ์รุนแรงต่างๆจะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยอีก ไม่อยากเห็นบ้านเมืองมีการเผาหรือยิงกันเหมือนในภาพยนตร์ ที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้แต่ที่เกิดขึ้นเพราะมีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันทางการเมืองเอาชนะกันโดยไม่รู้จักแพ้รู้จักชนะแล้วคุณแพ้ก็คือประเทศส่วนกองทัพก็ไม่มีวันชนะประชาชนแต่ประชาชนที่ออกมาสร้างสถานการณ์ความเดือดร้อน เชื่อคำยุยงปลุกปั่น มีการยิงนั่นคือประชาชนที่ทำให้ประเทศแพ้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องมีการฟื้นฟูประเทศแต่ก็ต้องใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งปีหรือสองปีไม่สามารถทำได้ รัฐบาลจึงต้องกำหนดยุทธศาสตร์ 20 ปี
“ท่านคิดว่าการจุดไฟเผาในเมืองเกิดกลียุคปีเดียวสิ่งปลูกสร้างทำได้แต่ทางการค้าไม่ใช่ ความมั่นใจของต่างชาติในการลงทุนไม่ใช่แต่ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มดีขึ้นอาจจะเห็นผลช้าและไม่ทันใจสำหรับนักการเมืองบางคน แต่ผมเชื่อว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างรอบคอบไม่ผลีผลาม หวังใจว่าการเมืองจะไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ แต่ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจล ถ้ามันไม่เกิดก็ไม่นำไปสู่การปฏิวัติ ที่ผ่านมาเกิดการปฏิวัติมา 10 กว่าครั้งแล้ว แต่มันไม่เหมือนสมัยก่อนแล้วซึ่งสมัยหลังหลังเกิดขึ้นเพราะเกิดจากการเมืองทั้งสิ้นผมไม่ได้บอกว่านักการเมืองดีหรือไม่ดีแต่มันก็มีทั้งดีและไม่ดี ผมเสียใจที่หลายๆ เรื่องโดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมถูกละเมิดการตัดสินคดีหลายคดีไม่ได้รับความเป็นธรรม”