27 มีนาคม 2563 จากกรณีนาย อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเรื่องมาตรการป้องกันความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์กับการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยกล่าวว่า “เท่าที่ได้รับรายงานมานะครับ เท่าที่ผมได้รับรายงานมานะครับ การติดเชื้อของแพทย์จากการปฏิบัติหน้าที่ให้การรักษาโควิดยังไม่มี นี่คือสิ่งที่จะต้องไปหวดกันนะครับ อันนี้ต้องยอมรับ พวกเราก็ไม่พอใจนะครับ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เฝ้าระวังตัวเอง แล้ว… ซึ่งเราควรจะต้องเป็นบุคคลตัวอย่าง ต่อให้ไม่เป็นบุคคลตัวอย่างนี่ เราก็จะต้องเป็นคนที่ Alert ตัวเองตลอดเวลาว่า ช่วงนี้มีสถานการณ์ระบาด โรคแบบนี้เราต้องเซฟตัวเองให้มากที่สุด” ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลอย่างมาก
ในเวลาต่อมา สมาชิกเว็บไซต์ Change.org ชื่อ”ณฐนภ ศรัทธาธรรม” ได้สร้างแคมเปญรณรงค์ ร้องเรียน ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดสืบเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อ ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) ปัจจุบันประเทศไทยมียอดผู้ป่วยสะสมแล้วทั้งสิ้น ๕๓ คน ซึ่งนับแต่ได้มีการแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทย การทำงานอย่างหนักในการควบคุมการระบาดของโรคถูกแบกรับโดยข้าราชการประจำ บุคลากรทางการแพทย์และภาคเอกชน ขณะที่การบริหารจัดการเชิงนโยบายในส่วนของฝ่ายบริหารโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญดังต่อไปนี้
ประการแรก การจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีความล่าช้าในการดำเนินการป้องกันและแก้ไข ไม่สามารถตอบสนองกับสถานการณ์การแพร่ระบาดได้อย่างเด็ดขาดและทันท่วงที ทั้งยังขาดความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์ทางการสาธารณสุข มีการให้ข้อมูลแก่ภาคประชาสังคมที่ไม่ชัดเจน ไม่ถูกต้อง ไม่ทั่วถึง และขาดการประสานงานร่วมกับหน่วยงานอื่น กระบวนการจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดจึงเต็มไปด้วยข้อบกพร่องและขาดประสิทธิภาพ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคประชาสังคมและความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ตัวอย่างความล้มเหลวที่เห็นได้ชัด เช่น กรณีการจัดมาตรการในการกักตัวและจำกัดบริเวณแก่กลุ่มผู้ใช้แรงงานที่เดินทางไปทำงานอย่างผิดกฎหมายในประเทศสาธารณัฐเกาหลีและผู้เดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงในการระบาดของโรค ซึ่งไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงและมาตราฐานของมาตรการที่จัดขึ้นสวนทางกับปริมาณงบประมาณที่ถูกจัดสรรอันก่อให้เกิดความเคลือบแคลงใจในความโปร่งใสของกระบวนการดำเนินงานดังกล่าว
ประการที่สอง ปัญหาความล้มเหลวในการจัดสรรเครื่องมือทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดในเดือนธันวาคม พบว่าเครื่องมือทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคถูกจัดสรรอย่างล้มเหลว โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนขาดแคลนหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ทำความสะอาด ซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานในกระบวนการทางการแพทย์ ทั้งยังผลักภาระความรับผิดชอบในการจัดหาเครื่องมือทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไปสู่โรงพยาบาลบุคลลากรทางการแพทย์เอง ซึ่งส่งผลให้เกิดความยากลำบากและความเสี่ยงในการติดต่อโรคของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นปัญหาทางมาตราฐานการบริหารงานที่มิควรจะเกิดขึ้น
ประการที่สาม คุณลักษณะความเป็นผู้นำและความรู้ความสามารถในฐานะผู้ควบคุมดูแลสถานการณ์การแพร่ระบาดของรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล ล้มเหลวและไร้ความน่าเชื่อถือ จากกรณีจากการใช้สื่อออนไลน์ตอบความเห็นประชาชนด้วยข้อความที่หยาบคาย ไม่มีมารยาท สร้างความเลียดชัง (Hate Speech) ไร้ซึ่งความสร้างสรรค์ ไม่ตระหนักและเคารพในความคิดเห็นและที่มาของอำนาจที่ได้รับมาจากประชาชน ทั้งยังขาดซึ่งจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีการใช้อำนาจกดดันและกลั่นแกล้งข้าราชการและบุคคลากรทางการแพทย์ผู้มีสิทธิและเสรีภาพที่ออกมาใช้เสรีภาพของตนแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์มาตรการการบริหารจัดการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล อันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และขัดต่อหลักการในระบอบประชาธิปไตย ด้วยสาระสำคัญข้างต้นสะท้อนชัดถึงความล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพของการจัดการเชิงนโยบายในส่วนของฝ่ายบริหารโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล อันเนื่องมาจากการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีโดยไม่คำนึงถึง ความรู้ ความสามารถ ตลอดจนความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการบริหารจัดการเชิงนโยบายในภาพรวมทั้งหมดของระบบสาธารณสุข โดยระบบดังกล่าวมีผลกระทบและเกี่ยวเนื่องอย่างยิ่งยวดต่อสุขภาพอนามัย ระบบเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทย ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลาออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยทันที เพราะสุขภาพอนามัยของประชาชนชาวไทย มิใช่กลุ่มก้อนแห่งผลประโยชน์ที่ผู้มีอำนาจจะจัดสรรแบ่งปันแก่กลุ่มคนและพวกพ้อง แต่เป็นสิทธิและสวัสดิภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ต้องได้รับการจัดสรรและดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ผู้นำที่มีความรู้ความสามารถ มีจรรยาบรรณและวิสัยทัศน์ เคารพต่อหลักการประชาธิปไตย และเห็นประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ
โดยล่าสุด มีผู้เข้าร่วมสนับสนุนกว่า 21,000 คนแล้วในขณะนี้