ชัยธวัช ก้าวไกล หรือ ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ได้โพสต์เฟซบุ๊กสรุปการเสวนาวิชาการในหัวข้อเปลี่ยนผ่านสู่ ‘ประชาธิปไตย’ ไม่ได้มาจาก ‘อาณัติสวรรค์’ หลักการที่ต้องยึดให้มั่นคืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน
ประวัติศาสตร์ของโลกที่ผ่านมาในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย การกำหนดเรื่องดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับว่าประชาชนในประเทศนั้นๆเป็นคนกำหนดเอง ไม่ใช่ถูกกำหนดมาจากอาณัติของสวรรค์หรือมาในนามของสมมติเทพองค์ใด และต้องเน้นย้ำตรงนี้เลยว่า หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น ประชาชนต้องยืนยันว่าอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน เราจะทำรัฐธรรมนูญแข่งกับคณะรัฐประหาร จะไม่ยอมอีกแล้วเหมือนที่ผ่านมาที่ให้อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญกลับไปที่อำนาจอื่นใดที่ไม่ใช่อำนาจของประชาชน ดังนั้น ประชาชนมีโอกาสประกาศใช้รัฐธรรมนูญของตัวเองทันที
ก้าวไกล ชี้ รัฐล้มเหลวทำเศรษฐกิจพังรอวันระเบิด จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้า
วิโรจน์ ก้าวไกล ถามทำไมต้องทน ประยุทธ์ ขนาด รัฐมนตรีคลัง ยังลาออก
ในงานเสวนาวิชาการและเวทีระดมความคิด ‘สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) แบบไหน…ที่คนไทยต้องการ’ ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ยืนยันถึง หลักการสำคัญในการจัดทำรัฐธรรมนูญทุกฉบับจากนี้ไปต้องกลับมาที่ฐานคิดในการจัดทำรัฐธรรมนูญ หลักการที่ต้องยึดให้มั่นคือ ‘อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน’ อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาหลักการนี้สามารถเป็นจริงได้ในสังคมในช่วงเวลาใดบ้าง หากไม่นับเหตุการณ์การอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน 2475 รวมถึงในทางปฏิบัติ หลักการนี้จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่ออำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน ดังนั้น การจัดทำรัฐธรรมนูญจึงต้องสามารถแก้ได้ทุกหมวด ทุกมาตรา ตามที่ประชาชนอยากเห็นว่าจะให้สังคมหน้าตาเป็นอย่างไร จะอยู่กันอย่างไร สัมพันธ์กันอย่างไร และอำนาจต่างๆ จะสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร และจากนั้นจึงนำไปผ่านการประชามติในขั้นตอนสุดท้าย
ก้าวไกล สั่น ไม่เอานายกคนนอก ไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ เดินหน้าจับมือเพื่อไทย ปิดสวิตซ์ ส.ว.
ชัยธวัช ยังกล่าวถึงข้อกังวลในญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่เสนอจากฝ่ายรัฐบาล ซึ่งพบว่ามีการวางกับดักไว้อย่างแยบยล คือ เมื่อ สสร.จัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วจะยังไม่ให้ไปลงประชามติทันที แต่ให้นำไปให้สภาพิจารณาก่อน ซึ่งตอนนี้เป็นที่รู้กันว่า ในสภาฝ่ายรัฐบาลและผู้มีอำนาจสามารถกุมเสียงข้างมากไว้ได้อย่างเด็ดขาด รวมทั้งมีการไปบัญญัตติไว้ด้วยว่าสามารถนำเอาบทบัญญัตติของ รธน.60 มาใช้ได้ในประเด็นที่ว่า พระมหากษตริย์สามารถ Veto หรือไม่เห็นด้วยได้ในร่างที่ทูลเกล้าไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้จะอันตรายมาก เพราะหมายความว่าเป็นการทำให้อำนาจของประชาชนที่เห็นชอบแล้วไปปะทะกับอำนาจของพระมหากษัตริย์ ถือเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง
รัฐบาลชุดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก เราจำเป็นต้องช่วยการขับไล่รัฐบาลชุดนี้ให้ไปพร้อมกับ ส.ว. 250 คน และอย่าไปหลงคารมที่ว่าต้องใช้เงินงบประมาณ 3 พันล้านในการมี สสร. ในช่วงที่สถานการณ์ประเทศเป็นเช่นนี้เป็นการสิ้นเปลือง เพราะหากไปดูการจัดสรรงบประมาณของหน่วยราชการ จะพบว่ามีงบประมาณที่ถูกจัดสรรในเรื่องที่ไม่เข้าท่าเต็มไปหมด หากไปตัดเรื่องไม่เข้าท่าเหล่านั้น เราจะมีงบประมาณไปใช้ในการมี สสร. แน่นอน รวมทั้งต้องกล่าวตรงนี้ด้วยว่า ค่าใช้จ่ายของการมี ส.ว. ทั้งระบบ ใช้งบประมาณปีละเป็นพันล้านบาท ดังนั้นจึงตั้งคำถามไว้ตรงนี้เลย ให้เลือกได้เลยว่า ประชาชนอยากมี ส.ว. หรือ สสร. มากกว่ากัน และอะไรตอนนี้มีประโยชน์กว่ากัน
ทั้งนี้ ในการเสวนา ชัยธวัช ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ต่างๆในการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 ผ่านกลไกรัฐสภา ช่วงที่ผ่านมา โดยระบุว่า ต้องมีการเสนอเป็นญัตติโดยสามารถเสนอได้หลายญัตติ แต่ต้องมีเนื้อหาที่ไม่ซ้ำกัน ปัจจุบันมีการยื่นญัตติต่อประธานรัฐสภาแล้ว 6 ญัตติ ญัตติแรก เป็นญัตติที่ทางพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 สาระสำคัญคือ เพื่อให้มี สสร. ซึ่งทางพรรคก้าวไกลเห็นด้วยเกือบทั้งหมด แต่ได้สงวนความเห็นเอาไว้ในการให้ สสร. สามารถแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ได้ และจะสนับสนุนร่างญัตตินี้ให้ผ่านในวาระที่ 1 ในวาระที่ 2 จึงค่อยแปรญัตติแก้ไขในประเด็นข้อสงวนข้างต้น ญัตติที่สอง เป็นร่างญัตติของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เช่นเดียวกับของฝ่ายค้าน แต่รูปแบบและรายละเอียดต่างกันมาก เช่น กำหนดที่มาของ สสร. จำนวน 50 คน ให้มาจากการการเลือกของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และในส่วนของ สสร.ที่มาจากนิสิตนักศึกษา 10 คนต้องมาจากการรับรองของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)
ญัตติต่อมาคือญัตติที่พรรคก้าวไกลเชิญชวนให้ ส.ส.จากหลายๆ มาร่วมกันยื่นแก้ไขยกเลิก มาตรา 272 เพราะลำพังเสียงของพรรคก้าวไกลอย่างเดียวไม่พอ ญัตตินี้จะเป็นก้าวแรกของการปิดสวิสต์ ส.ว. ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากเนื่องจากในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่าก่อนจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อกำเนิด อะไรจะเกิดขึ้นขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นการมี ‘นายกคนนอก’ จะเกิดขึ้นได้ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ด้วยบทเฉพาะกาล มาตรา 272 นี้เท่านั้น
ก้าวแรกของการปิดสวิตช์ ส.ว. ด้วยการยกเลิก ม. 272 นอกจากจะเป็นการยกเลิกอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังจะเป็นการปิดทางไม่ให้มีนายกคนนอกด้วยเช่นกัน แต่ญัตตินี้ ส.ส.ที่มาร่วมลงชื่อจากบางพรรคถูกกดดันให้ไปถอนชื่อ ส่งผลให้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะต้องตกไป แต่ทางพรรคก้าวไกลก็ได้ไปร่วมเข้าชื่อกับญัตติที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีญัตติยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 อีก 4 ญัตติ พร้อมกันคือ การยกเลิกมาตรา 272 บวกแก้ไขมาตรา 156 มีสาระสำคัญคือการยกเลิกอำนาจ ส.ว. พร้อมทั้งแก้ไขบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรี ที่จะเปิดทางให้เลือกนายกรัฐมนตรีได้จากบัญชีที่เสนอโดยพรรคการเมือง หรือมาจาก ส.ส. เท่านั้น ญัตติต่อมาคือ ยกเลิกมาตรา 270 และ 271 สาระสำคัญคือยกเลิกอำนาจ ส.ว.ในการพิจารณากฎหมายที่ถูกตีความว่าเป็นกฎหมายปฏิรูปประเทศ ซึ่งเรื่องนี้มีปัญหามากในเชิงปฏิบัติ ต้องกล่าวเพิ่มเติมว่าประเด็นนี้เป็นคนละเรื่องกับการที่ว่าจะไม่มีกฎหมายปฏิรูปประเทศแต่เป็นการบอกเพียงว่ากฎหมายแต่ละฉบับขอให้ไปใช้กลไกปกติ เพราะเมื่อพูดให้ถึงที่สุดกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอมาทั้งหมดคือการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงให้ประเทศดีขึ้นทั้งนั้น
อีกหนึ่งญัตติ ชัยธวัช กล่าวว่า คือการยกเลิก มาตรา 279 ซึ่งตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่มีการเสนอเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก เพราะเป็นมาตราที่รับรองให้ประกาศหรือคำสั่ง คสช. ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ การยกเลิกหมายความว่าจะทำให้ประกาศและคำสั่ง คสช. สามารถถูกตรวจสอบได้ เช่น ข้าราชการที่ถูกโยกย้ายตามมาตรา 44 จะสามารถไปยื่นขอความเป็นธรรมจากศาลได้ และญัตติสุดท้ายคือการแก้ไขระบบเลือกตั้งให้มีบัตรจำนวน 2 ใบ
ชัยธวัช กล่าวว่า หลายคนเป็นกังวลเรื่องการจะแก้ได้ต้องใช้เสียง ส.ว. จำนวน 1 ใน 3 คือจำนวน 84 เสียง ซึ่งมีเสียงแว่วมาให้ได้ยินว่าตอนนี้ยังมีไม่ถึง และก็ได้ยินมาอีกว่ามีการพูดเปรยๆว่าจะแก้อะไรก็ได้ แต่ขออยู่ครบ 5 ปีได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้คงไม่สามารถตัดสินใจหรือให้คำตอบได้ ต้องถามไปยังประชาชนว่ายอมหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ประชาชนและสังคมนอกสภาอาจต้องส่งเสียงสร้างแรงกดดันไปยัง ส.ว.ให้ยอมสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราต้องช่วยกันส่งเสียงว่า อยากเห็น สสร. เป็นอย่างไร ต้องส่งเสียงไปทุกช่องทางไปถึงสภา และต้องลองช่วยกันคิดช่วยกันหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ว่าจะทำอย่างไร และหากญัตติยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการแปรญัตติแล้วแย่หรือไม่ยอมให้แก้ไขอะไรสักอย่างในกระบวนการรัฐสภา เพราะ ส.ว.ขวางไว้ ก็จำเป็นต้องไปล่ารายชื่อจากประชาชนข้างนอกเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่ง
นอกจากการผลักดันเรื่อง สสร. แล้ว ชัยธวัช ระบุว่า อีกประเด็นสำคัญที่ต้องผลักดันคู่ขนานไปด้วยคือ การปิดสวิสต์ ส.ว. ที่ยังมีอีก 1 มาตรา ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านยังไม่ได้เสนอยื่นคือ ยกเลิกมาตรา 269 สาระสำคัญของมาตรานี้คือ การให้ ส.ว.250 คน ที่มาจาก คสช. ออกไปเลย แล้วกลับไปใช้ ส.ว. รูปแบบปกติ แต่เรื่องนี้คือการแก้ไขในระดับเฉพาะหน้า เพราะยังมีประเด็นว่า ส.ว. ยังมีความจำเป็นหรือไม่ในสังคมไทยซึ่งสามารถพูดคุยถกเถียงกันต่อได้ใน สสร. เมื่อมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่