พ.ร.ก. ซอฟต์โลน ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ตรงไหน? อ่านแล้วมีแต่ธนาคารและธุรกิจใหญ่เครดิตดีที่ได้ประโยชน์ แต่ SMEs ตัวจริงส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ ถ้าไม่เชื่อต้องลองไปคุยกับประชาชนดู
30 พฤษภาคม 2563 ธีรัจชัย พันธุมาศ-Teerajchai Phunthumas ส.ส. พรรคก้าวไกล อภิปรายในที่ประชุมสภาถึง พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (หรือ SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในหัวข้อ “การช่วยเหลือ SMEs ที่ไม่ตอบโจทย์”
ธีรัจชัยเริ่มต้นโดยการอธิบายปัญหาเรื่องการนิยาม SMEs ของ พ.ร.ก. ดังกล่าวที่ไม่ตรงกับนิยามที่กฎหมายอื่นๆ ในประเทศเคยมีอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้มีการนิยามวิสาหกิจขนาดย่อย, ขนาดย่อม และขนาดกลาง ตามการจ้างงานและรายได้ของแต่ละธุรกิจ (อาทิ ขนาดย่อย ไม่เกิน 5 คน รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี) อย่างไรก็ตาม พ.ร.ก. ที่เสนอมาใหม่โดยรัฐบาลนั้นนิยาม SMEs ว่าคือ วิสาหกิจที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกิน 500 ล้านบาท ไม่ระบุการจ้างงานหรือระดับรายได้เลย หมายความว่า บริษัทที่มีรายได้ 1,000 – 2,000 – 3,000 ล้านบาท มีลูกจ้าง 2,000-3,000 คน ก็สามารถกู้ยืมเงินก้อนนี้ เพียงแค่ต้องไม่มีหนี้กับธนาคารเกิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่ที่ไม่ใช่ SMEs ได้ง่ายๆ
ธีรัจชัยกล่าวถึงกรณีกลุ่มที่ตกหล่นจาก พ.ร.ก.ซอฟต์โลนจากเกณฑ์การมีสินเชื่อในธนาคารที่กำหนดไว้ การปล่อยกู้ร้อยละ 2 ที่กำหนดไว้ ธนาคารเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกผู้กู้ได้ด้วยตนเองตามระดับเครดิตหรือความเป็น “ลูกค้าชั้นดี” ของธนาคาร ไม่มีการผ่อนปรน กฎเกณฑ์ การให้สินเชื่อใดๆ เลย SMEs เหล่านี้ที่ไม่ได้มีเครดิตดีจนเข้าสายตาธนาคารจึงยากที่จะเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยถูกตาม พ.ร.ก. นี้ เพื่อพยุงกิจการและรักษาการจ้างงานได้ เพราะกฎเกณฑ์ไม่เอื้อต่อการเข้าถึงแหล่งเงินนี้
“ผมได้คุยกับ SMEs เป็นผู้ประกอบการรีสอร์ทแถวชายแดนไทย-พม่า ส่วนใหญ่ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ บางคนไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ และเกือบทั้งหมดไม่ค่อยได้ใช้เงินกู้จากธนาคาร แต่เสียภาษีให้รัฐถูกต้อง พวกเขาถูกมาตรการปิดเมือง ไม่มีลูกค้าทั้งคนไทยและต่างประเทศมาพัก ไม่มีรายได้ 2 เดือนเศษแล้ว ต้องจ่ายค่าแรงลูกจ้าง บางรายไม่ไหวต้องเลิกจ้างลูกจ้าง” ธีรัจชัยกล่าว
.
นอกจากนี้ ธีรัจชัยยังเผยตัวเลขการจ้างงานของ SMEs ทั้งหมดในประเทศซึ่งอยู่ที่ 3,070,177 ราย ขนาดย่อมและย่อยจำนวน 3,029,525 ราย คิดเป็นร้อยละ 98.2 เกือบทั้งหมดของ SMEs ในขณะที่ขนาดกลางมีจำนวน 40,652 ราย หรือร้อยละ 1.8 เท่านั้น และเมื่อดูการจ้างงานพบว่า ขนาดย่อยมีการจ้างงาน 4,974,613 คน, ขนาดย่อม 4,140,563 คน และขนาดกลาง 2,070,936 คน SMEs ขนาดย่อมที่มีการจ้างแรงงานเกือบ 5 ล้านคน หากคนกลุ่มนี้ไม่มีสินเชื่อกับธนาคาร ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แน่นอนว่าไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือนี้ได้เลย ผู้ประกอบการและแรงงานหลายล้านชีวิตกำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสและกำลังจะล้มลงโดยปราศจาการเหลียวแลหรือให้ความช่วยเหลือใดๆ ของรัฐบาล
สุดท้าย ธีรัจชัยสรุปโดยการย้ำว่า SMEs ที่มีกว่า 3 ล้านราย จ้างงานกว่า 12 ล้านคน ถ้าหากล้มหายตายจากกไป กลุ่มแรกที่จะได้รับผลกระทบคือ “แรงงานพนักงานที่ถูกจ้าง” จะถูกลดชั่วโมงการทำงาน ตกงาน กลับต่างจังหวัด อนาคตทำงานได้แค่รับจ้างรายวัน ขาดความมั่นคง ไม่มีเงินออม และในฝั่งทรัพย์สิน ก็ได้จะรับผลกระทบในแง่ที่ว่า ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็ต้องถูกธนาคาร ถูกเจ้าหนี้ยึดทรัพย์เข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ต้องเอาทรัพย์สินไปขายทอดตลาดเพื่อนำเงินสดส่งคืนเจ้าหนี้ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทหนึ่งก็เป็นทั้งเจ้าหนี้การค้าและลูกหนี้การค้าของอีกบริษัท ถ้าบริษัทหนึ่งถูกกระทบก็จะไปดึงเงินอีกบริษัทหนึ่ง เกิดผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่ ส่วน SMEs เจ้าของทรัพย์สินก็จะกลายไปคนล้มละลาย การจะไปทำธุรกรรมอะไรก็ยาก บางคนกิจการที่เขาสร้างมาทั้งชีวิตเมื่อล้มไป จะเริ่มสร้างใหม่ก็ไม่ง่ายเท่าเดิมแล้ว
พ.ร.ก. ซอฟต์โลนช่วยผู้ประกอบการ SMEs ตรงไหน? อ่านแล้วมีแต่ธนาคารและธุรกิจใหญ่เครดิตดีที่ได้ประโยชน์ แต่ SMEs ตัวจริงส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ ถ้าไม่เชื่อต้องลองไปคุยกับประชาชนดู!
#Covid19 #โควิด19 #ก้าวไกล #ประชุมสภา