วิโรจน์ พรรค ก้าวไกล ชี้ โครงการ กู้เงิน4แสนล้าน มีประชาชนเป็นผู้ค้ำประกัน – จะปล่อยให้ จันทร์โอชา Production เป็นผู้กำกับไม่ได้
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่รัฐสภา ร่วมอภิปรายในในญัตติด่วนเรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้ง กมธ. วิสามัญเพื่อตรวจสอบงบประมาณและมาตรการในการแก้ไขปัญหาโควิด โดยนายวิโรจน์ ระบุว่า โครงการเงินกู้นี้กำลังเป็นที่สนใจของสังคมเป็นอย่างมาก ซึ่งตนขอเรียกว่า โครงการฟื้นฟู 4 แสนล้าน โครงการนี้คือการเอาเงินกู้ 1 ล้านล้าน มาใช้ถึง 4 แสนล้าน และประเด็นที่ประชาชนกำลังจับจ้อง เพราะเงื่อนเวลาในการเสนอโครงการที่อยู่ในเดือนมิถุนายน ที่กำลังจะเอาเข้าคณะรัฐมนตรีในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม มันเป็นช่วงเวลาที่ ช่างพอเหมาะพอดีเหลือเกิน กับการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งพรรคที่ว่านี้ขีดเส้นว่าต้องเรียบร้อยก่อนวันที่ 21 มิถุนายน
วิโรจน์ กล่าวว่า ตนได้ดูรายชื่อโครงการเบื้องต้นที่เว็บไซต์ของสภาพัฒน์ ขณะตอนนี้มีอยู่ 3 หมื่นกว่าโครงการ สิ่งที่น่าตกใจ ก็คือ หากเปรียบเป็นภาพยนตร์ โครงการเงินกู้นี้คือหนังภาค 2 ที่ต่อจากภาคแรก ที่มีชื่อว่าไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งหนังภาคแรกที่กล่าวถึงนี้สร้างไปเมื่อปี 2561 เสียหายไปทั้งสิ้น 9.5 หมื่นล้าน มีโครงการอยู่หลายโครงการที่วันนี้เหลือเพียงแต่อนุสาวรีย์ และโครงการย่อยที่มีชื่อว่า โครงการเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งทุกวันนี้ก็เหลือเพียงแต่เศษซากเท่านั้น
“ภาค 1 ชื่อไทยนิยมเจ๊งไม่เป็นท่า ยังจะมีหน้ามาขอภาค 2 อีก 4 แสนล้าน ผมยืนยันว่าถ้าโครงการไทยนิยมยั่งยืนจริง ทุกวันนี้จะต้องไม่เงียบแบบนี้ มันต้องมีความนิยมบ้าง แต่ทุกวันนี้ไม่เหลือความนิยมอยู่และความยั่งยืนอยู่เลย โครงการฟื้นฟู 4 แสนล้านนี้ มาแนวเดียวกับโครงการไทยนิยมยั่งยืน ที่เสนอกันขึ้นมา ซึ่ง 1 ในรายละเอียดของโครงการนี้ต้องมีโครงการที่ชื่อว่า เศรษฐกิจฐานรากเช่นเดียวกัน ซึ่งโครงการส่วนใหญ่จะอยู่ในหัวข้อย่อยนี้ เช่นเดียวกับโครงการไทยนิยมเมื่อปี 2561 เช่นเดียวกันไม่ต่างกันเลย”
วิโรจน์กล่าวต่อว่า หลายคนบอกตนว่าอย่าไปห่วง เพราะว่าโครงการนี้มีคณะกรรมการกลั่นกรองถึง 11 คน ซึ่งตนถามกลับไปว่าเราเชื่อใจคนเหล่านี้ได้จริงๆหรือ แล้ว 30000 กว่าโครงการจะกลั่นกรองกันอย่างไร จะเข้มมากก็ล่าช้า ถ้าจะไม่เข้มก็เหมือนปล่อยผี โครงการไทยนิยม กับโครงการ 4 แสนล้านนี้ มีพอตเรื่องคล้ายกัน ซึ่งตนเชื่อว่าผู้อำนวยการสร้างนี้ต้องเป็นคนเดียวกัน นั่นก็คือ ‘จันทร์โอชา Production’ ซึ่งช่วงแรกของทั้ง 2 โครงการนี้ จะเป็นแบบแนว Hero Action แจกจ่ายกันถ้วนหน้า อาจเรียกว่าเราไม่ทิ้งกันจริงๆ แต่ช่วงหลังของพอตเรื่องจะเป็นแนวสยองขวัญ ที่สูบจนเหลือแต่ซาก
“โครงการ 4 แสนล้านนี้มีโครงการทำถนนอยู่เป็นจำนวนมาก เหมือนต้องการลบคำสาปที่ต้องการไม่ให้มีถนนลูกรังเหลือในประเทศไทย มีโครงการอีกมากมายที่ต่อชื่อโครงการด้วยว่าสู้วิกฤตโควิด หรือพิชิตไวรัสโคโรน่า เยอะแยะเต็มไปหมดไปหมด ยกตัวอย่างเช่น กศน.สู้ภัยโควิด งบกว่า 40 ล้านบาท มีทุกจังหวัด นอกจากนี้ยังมีอีกโครงการที่ชื่อปลูกผักสวนครัวต้านภัยโควิด ตอนนี้แวคซีนยังไม่มีจะมีโครงการปลูกผักมาทำไม และอีกหลายๆโครงการที่เป็นโครงการฝึกอบรมปกติ แล้วมาเติมพ่วงท้ายคำว่า New Normal ที่เป็นเหมือนโครงการที่ก็อปปี้กันมาแล้วเติมชื่อต่อท้ายเอาเท่านั้น เราจะเห็นได้ว่า หนังภาค 2 พอตเรื่องไม่ต่างจากภาค 1 เลย”
วิโรจน์ กล่าวสรุปได้ว่าหนังภาค 2 นี้ ของ จันทร์โอชา Production ที่กู้เงิน 4 แสนล้านมาสร้าง โดยมีประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ เราจะปล่อยให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้กำกับแบบภาคแรกไม่ได้ และมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ภาคประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ ที่ต้องมาช่วยกันเป็นผู้กำกับและนักแสดงในภาค 2 และนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญครับที่เราต้องมีคณะกรรมาธิการวิสามัญ ติดตามการตรวจสอบการใช้งบประมาณและมาตรการในการแก้ไข ภายใต้วิกฤตโควิด-19
“ถ้าคณะกรรมาธิการชุดนี้มีข้อสังเกตที่ชัดเจนและส่งสัญญาณให้รัฐบาลหยุด ก็ต้องหยุด และหลังจากนั้นต้องเต็มใจให้ตรวจสอบ อะไรต้องปรับก็ต้องให้ปรับ อะไรเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน อะไรที่ต้องยกเลิกก็ต้องยกเลิก เพื่อให้มั่นใจว่าทุกโครงการจะเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างสูงสุด สู้กับอัตราการว่างงาน สู้กับการจ้างงานเหนี่ยวนำกับการลงทุนจากภาคเอกชนให้ได้ เพราะเงินกู้ก้อนนี้ รัฐบาลจะต้องเอาเงินภาษีของประชาชนไปใช้ ซึ่งประเมินกันว่า ช่วงเวลา 20 ปีต่อจากนี้ก็อาจจะใช้ไม่หมด คณะกรรมาธิการชุดนี้ต้องทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้ประชาชนมั่นใจว่า เงินกู้ก้อนนี้ มาตรการทุกอย่างจะเกิดประโยชน์กับพวกเขา และลูกหลานของพวกเขา ให้คุ้มกับภาระที่พวกเขาจะเอาอนาคตของเขามาแลก”