วานนี้ (14 กรกฎาคม) นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เผยถึงกรณี ลูกสาวทูต อายุ 9 ปี ที่เดินทางมากับครอบครัวติดโควิด19 พบในภายหลังว่าไปพักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท แทนที่จะกักตัวอยู่ในพื้นที่สถานทูต
นพ.ปรีชา กล่าวว่า “ตั้งแต่ที่รับจากสนามบินมีผลเป็นบวก ด้วยระบบของทูต เป็นสิทธิทางการทูต ซึ่งมีข้อยกเว้นว่าให้เข้าไปกักกันในพื้นที่ของสถานทูตเอง และเหมือนกับว่าตอนช่วงนั้นสถานทูตเองคงมีความแออัด จึงเข้าพักที่ตรงนี้ก่อน หลังจากนั้นส่งไปที่โรงพยาบาล ซึ่งทางโรงพยาบาลได้รับการตรวจยืนยันอีกครั้งหนึ่ง และก็ได้รับการรักษาแบบเบื้องต้น หลังจากนั้นจึงส่งไปที่โรงพยาบาลของรัฐ ตอนนี้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น เรื่องปอดอักเสบก็ดีขึ้นแล้ว
“การเดินทางเข้ามาครั้งนี้มีผู้โดยสารในเครื่องบินลำเดียวกัน 244 คน แล้วได้มีการคัดกรอง ซึ่งในจำนวน 244 คนก็เป็นผู้ป่วยในข่ายสงสัยอีก 45 คน แล้วตรวจพบว่ามีผลบวกทั้งหมด 12 คน รวมรายนี้ด้วย ซึ่งก็ได้กระจายไปรักษาตามที่ต่างๆ พวกนั้นคือคนไทยที่เดินทางกลับมาด้วย ซึ่งได้มีการติดตามในส่วนของคนไทย และเข้าไปอยู่ที่ State Quarantine ส่วนของทีมท่านทูตก็เป็นตามเอกสิทธิ์ แต่ต้องเข้าไปอยู่ในที่กักกันของทางสถานทูตเอง”
อีกทั้ง นพ.ชวินทร์ ศิรินาค ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่อาจถูกมองว่าจะเป็นการแบ่งสองมาตรฐาน หากคนไทยที่มาจากต่างแดนต้องกักตัวทันทีที่มาถึง แต่ทางคณะทูตสามารถเดินทางออกนอกจุดกักตัวได้ ก่อนกลับไปตรวจเชื้ออีกครั้ง ไว้ว่า กฎดังกล่าวทำให้เกิดช่องว่างอยู่บ้าง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนให้กับทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) หรือนักวิชาการทั้งหลายที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้มาช่วยระดมความคิดกันถึงมาตรการที่จะก่อให้เกิดความเข้มแข็งในการป้องกันโรคและรัดกุม พร้อมสร้างความมั่นใจให้ประชาชนมากยิ่งขึ้นว่าต้องทำอย่างไร