พระสมณดำรัส สมเด็จพระ สันตะปาปาฟรังซิส ไม่ใช่ทุกอย่างจะเสียหายไปทั้งหมด เพราะมนุษย์ซึ่งอาจตกต่ำได้ถึงขีดสุด ก็สามารถพัฒนาตนเอง กลับสู่หนทางที่ถูกต้องและเจริญขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เมื่อวันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.15 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ประมุขแห่งคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกและนครรัฐวาติกัน ทรงพบปะกับผู้แทนศาสนาต่าง ๆ ณ หอประชุม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทั้งนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส แสดงพระสมณดำรัสตอนหนึ่งว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส แสดงพระสมณดำรัสตอนหนึ่งว่า เมื่อ 122 ปีที่แล้ว ในปี ค.ศ.1897 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระนามของพระองค์เป็นที่มาของชื่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนกรุงโรม และพระองค์ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีประมุขของรัฐที่ไม่ใช่คริสตศาสนิกชนเยือนนครรัฐวาติกัน การระลึกถึงวาระที่สำคัญดังกล่าวรวมถึงทั้งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีคุณูปการอย่างเหลือล้นรวมถึงการเลิกทาสทำให้เราได้ย้อนคิด และกระตุ้นให้เรามุ่งมั่นดำเนินการตามแนวทางของการสานเสวนาและการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน และสิ่งนี้ควรดำเนินการต่อไปอย่างจริงจังด้วยสำนึกแห่งภราดรภาพอันจะช่วยยุติภาวะการเป็นทาสที่ยังคงมีอยู่มากมายหลายรูปแบบในยุคปัจจุบัน เช่นที่พบอยู่ในกรณีปัญหาการค้ามนุษย์
ความจำเป็นในการยอมรับและเห็นคุณค่าของกันและกัน รวมถึงความร่วมมือระหว่างศาสนาต่างๆ เป็นสิ่งที่ทวีความสำคัญยิ่งขึ้นต่อมนุษยชาติในปัจจุบัน โลกทุกวันนี้เผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนเช่นโลกาภิวัตน์ ทางเศรษฐกิจการเงิน และผลกระทบที่รุนแรงต่อการพัฒนาของสังคมท้องถิ่น ความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วซึ่งดูเหมือนจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นนั้นมาพร้อมกับความขัดแย้งทางสังคมที่แก้ปัญหาไม่ตก รวมทั้งปัญหาการอพยพย้ายถิ่นฐาน ผู้ลี้ภัย ความหิวโหย สงคราม รวมถึงภาวะเสื่อมโทรม ที่กำลังทำลายโลกที่เป็นบ้านส่วนรวมของพวกเราทุกคน ภาวะการณ์เหล่านี้กระตุ้นเตือนเราว่าไม่มีภูมิภาคหรือภาคส่วนใดของมนุษยชาติที่จะคิดหรือดำเนินไปได้โดยไม่ข้องเกี่ยว หรือไม่ได้รับผลกระทบจากภูมิภาคหรือภาคส่วนอื่น
ในขณะเดียวกันภาวะการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เราต้องลองค้นหาวิธีการใหม่ ๆ ในการสร้างประวัติศาสตร์ปัจจุบันโดยไม่จำเป็นต้องตำหนิหรือกล่าวโทษใคร วิธีคิดแบบแยกส่วนเป็นเอกเทศที่ไม่ใช่องค์รวมในการมองภาพเวลา พื้นที่ หรือมิติอื่นซึ่งเคยนำมาใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งได้นั้นล้าสมัยไปแล้ว ยุคนี้เป็นยุคที่ต้องกล้าจินตนาการถึงวิธีคิดใหม่ที่ต้องการหันหน้าเข้าหากัน และการสานเสวนาหารือกันควรเป็นแนวทางที่ควรเดิน การทำงานร่วมกันควรเป็นแนวทางปฏิบัติ และการทำความรู้จักซึ่งกันและกันเป็นวิธีการและหลักเกณฑ์ โดยเสนอกระบวนทัศน์ใหม่สำหรับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง สร้างความเข้าใจกันระหว่างผู้คนและปกปักษ์รักษาสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าในด้านนี้ สถาบันศาสนารวมถึงสถาบันการศึกษาทุกระดับ มหาวิทยาลัยสามารถมีส่วนร่วมและช่วยได้โดยไม่ต้องละทิ้งพันธกิจหลัก และความเชี่ยวชาญเฉพาะตนไป ทุกสิ่งที่เราทำเพื่อการดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญในการรับประกันสิทธิในอนาคตของอนุชนรุ่นหลัง ทั้งยังเป็นการธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและสันติภาพ นี่เป็นวิธีเดียวที่เราจะเตรียมเครื่องมือที่จำเป็นเพื่อให้พวกเขาเป็นผู้สร้างวิถีชีวิตที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ยุคสมัยนี้ เราต้องสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งที่ยึดหลักการให้เกียรติและการเคารพศักดิ์ศรีของบุคคลในการส่งเสริมมนุษยนิยมแบบบูรณาการ (humanismo integral) ที่เห็นความสำคัญและสามารถเรียกร้องให้ปกป้องแผ่นดินโลกซึ่งเป็นบ้านส่วนรวมของพวกเราทุกคนในการบริหารจัดการอย่างมีความรับผิดชอบโดยรักษาความงดงามและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในฐานะที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ศาสนาสำคัญๆ ของโลกของเราเป็นหลักฐานแสดงถึงมรดกทางจิตวิญญาณอันสูงส่งกว่าสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา ที่มีร่วมกันในหลายลัทธิความเชื่อ ซึ่งสามารถเป็นหลักที่มั่นคงในเรื่องนี้ได้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้หากเรากล้าทดลองโดยปราศจากความกลัวที่จะมาพบปะกัน
พวกเราทุกคนได้รับกระแสเรียก ไม่ใช่เพียงให้สนใจเสียงร้องของคนยากจนที่อยู่รอบตัวเรา เช่น คนที่อยู่ชายขอบสังคม คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง กลุ่มชนชาติพันธุ์ และชนกลุ่มน้อยทางศาสนา แต่ยังมีเสียงเรียกโดยไม่ต้องกลัวที่จะสร้างพื้นที่สำหรับการพบปะกันและทำงานร่วมกัน ซึ่งก็มีการริเริ่มดำเนินการกันมาบ้างแล้ว ในขณะเดียวกัน ยังมีการขอให้เรายอมรับความจำเป็นในการปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเคารพสิทธิด้านมโนสำนึกและเสรีภาพทางศาสนาและสร้างพื้นที่ใหม่ๆ ด้วยความมั่นใจว่า “ไม่ใช่ทุกอย่างจะเสียหายไปทั้งหมด เพราะมนุษย์ซึ่งอาจตกต่ำได้ถึงขีดสุด ก็สามารถพัฒนาตนเอง กลับสู่หนทางที่ถูกต้องและเจริญขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และต้องเอาชนะอุปสรรคทางจิตใจและสังคมทั้งปวงที่อยู่รอบด้านได้” (พระสมณสาส์นเวียนชื่อ Laudato Si’, ข้อ 205)
ในผืนแผ่นดินไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีความงดงามทางธรรมชาติ ข้าพเจ้าอยากจะเน้นลักษณะเด่น ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าสำคัญยิ่ง และเป็นหนึ่งในความอุดมสมบูรณ์ที่มีศักยภาพในการ “ส่งออก” และแบ่งปันให้ภูมิภาคอื่นๆซึ่งเป็นครอบครัวมนุษยชาติของเราได้ พวกท่านชาวไทยให้ความสำคัญและดูแลผู้สูงอายุ ให้เกียรติและเคารพยกย่องผู้สูงวัย ซึ่งทำให้ท่านเป็นรากแก้วเพื่อให้ชนชาติของท่านไม่เหี่ยวเฉาไปกับสโลแกนบางคำที่จะทำให้จิตวิญญาณของคนรุ่นใหม่ว่างเปล่าหรือเสื่อมถอยลง นอกจากแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในการลดทอนคุณค่าแห่งค่านิยมและวัฒนธรรมท้องถิ่นอันงดงาม โดยการยัดเยียดรูปแบบที่เหมือนกันเพียงแบบเดียว เรายัง “เห็นแนวโน้มที่จะทำให้คนหนุ่มสาว มีลักษณะคล้ายกัน” เพื่อสลายความแตกต่างที่แปรไปตามถิ่นกำเนิดของแต่ละคน ทำให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตตามสั่ง ซึ่งผลิตออกมาเหมือนๆ กันในปริมาณมาก ซึ่งเป็นการทำลายทางวัฒนธรรมที่ร้ายแรงพอๆ กับการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต” (พระสมณสาส์นเตือนใจชื่อ Christus vivit, ข้อ 186) ขอให้ท่านทำให้คนหนุ่มสาวได้ค้นพบวัฒนธรรมของสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ การช่วยให้คนหนุ่มสาวค้นพบคุณค่าอันไม่มีวันเสื่อมสลายของอดีต ได้ค้นพบรากเหง้าของตัวเองโดยการสำนึกอย่างกตัญญู อันเป็นการแสดงออกอย่างแท้จริงถึงความรักที่มีต่อเขาในระหว่างที่เฝ้าดูการเติบโตและการตัดสินใจของเขาเหล่านั้น (เทียบ พระสมณสาส์นเตือนใจ Christus vivit, ข้อ 187)
มุมมองทั้งหมดนี้จำเป็นที่จะต้องมีบทบาทของสถาบันการศึกษาเช่นมหาวิทยาลัยแห่งนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัย การมีองค์ความรู้จะช่วยเปิดหนทางใหม่ๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคน เสริมสร้างความยุติธรรมในสังคม ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แสวงหาวิธีแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติสุข และ การอนุรักษ์ทรัพยากรที่ให้ชีวิตแก่แผ่นดินของเรา ข้าพเจ้าขอขอบคุณครูอาจารย์และนักวิชาการของประเทศนี้เป็นพิเศษที่ทำงานเพื่อให้คนรุ่นปัจจุบันและอนาคตมีทักษะ และเหนือสิ่งอื่นใดคือมีภูมิปัญญาที่มีรากฐานมาแต่โบราณกาลซึ่งจะช่วยให้เขาสามารถมีส่วนในการเสริมสร้างประโยชน์ส่วนรวมแก่สังคม
พี่น้องที่รักทุกท่าน เราทุกคนล้วนเป็นสมาชิกครอบครัวมนุษยชาติ ขอเชิญชวนทุกคนไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือสถานภาพใดๆร่วมกันสร้างสรรค์และดำเนินการโดยตรงในการสร้างวัฒนธรรมโดยมีค่านิยมร่วมกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ข้าพเจ้าขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำเชื้อเชิญ และขอบคุณที่ท่านให้ความสนใจเข้ามาร่วมงานนี้ ข้าพเจ้าขอภาวนา และขออวยพรสำหรับความพยายามของทุกท่านที่มุ่งช่วยกันพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองและมีสันติสุข ขอพระเจ้าอำนวยพรแด่ทุกท่านที่มาชุมนุมกันในวันนี้ แด่ครอบครัวของท่านทุกคน และแด่บุคคลที่ท่านกระทำสิ่งต่างๆเพื่อเขา และขอให้ท่านสวดอธิษฐานและอวยพรให้ข้าพเจ้าด้วย
ขอขอบคุณอย่างยิ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.chula.ac.th/news/25376/