อ.มุนินทร์ ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ ข้อสังเกต คดีทักษิณ ชั้น14 หลังศาลฎีกาตัดสินให้กลับไปรับโทษ ลั่น เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในทางนิติศาสตร์
ข่าวโซเชียล กรณี อ.มุนินทร์ ชี้ ข้อสังเกต คดีทักษิณ ชั้น14 สืบเนื่องจาก วันที่ 9 กันยายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาในคดีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ กรณีอนุญาตให้นายทักษิณ เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ซึ่งนับว่าเป็นอีก 1 คดีที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยผลการพิจารณา มีคำสังให้ นายทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าเรือนจำ เป็นระยะเวลา 1 ปี ล่าสุด รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก ถึง 2 ข้อสังเกตคดีนี้
ข่าวที่น่าสนใจ
- ระเบียบใหม่ราชทัณฑ์ คุมขังนอกเรือนจำ ทักษิณเข้าเกณฑ์หรือไม่ ?
- ย้อนรอยอาการป่วยทักษิณ ตั้งแต่กลับไทย สู่การพักโทษ จนโดนคดีชั้น14
- แขก คำผกา ให้กำลังใจ ทักษิณ หลังศาลฎีกาตัดสินคดีชั้น14 จำคุกทักษิณ
ข้อสังเกต คดีทักษิณ ชั้น14 โดย อ.มุนินทร์
ข้อสังเกตทางนิติศาสตร์ที่มีต่อคำสั่งศาลฎีกากรณีการบังคับโทษจำคุกทักษิณ
1. คำสั่งที่วินิจฉัยว่าการบังคับโทษจำคุกคุณทักษิณไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ต้องกลับไปรับโทษจำคุกอีก เป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในทางนิติศาสตร์ ไม่ใช่เพราะเป็นการส่งอดีตนายกรัฐมนตรีเข้าคุกจริงๆ เป็นครั้งแรกของไทย แต่เพราะเป็นครั้งแรกที่ศาลฎีกาเข้ามาตรวจสอบการบังคับตามคำพิพากษาซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร (โดยเฉพาะกรมราชทัณฑ์) ทั้งๆ ที่มีผู้คัดค้านว่าศาลไม่ควรมีอำนาจไต่สวนโดยที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้อย่างชัดแจ้ง การที่ศาลฎีกาตีความกฎหมายว่าตนมีอำนาจสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารในการบังคับตามคำพิพากษาและศาลคงมองไม่มีหนทางอื่นที่แก้ปัญหาร้ายแรงของกระบวนการยุติธรรมในส่วนนี้ได้อย่างทันท่วงที คำสั่งของศาลฎีกาในคดีนี้จึงเป็นทั้งพยานหลักฐานของความล้มเหลวในกระบวนการบังคับโทษและยังเป็นสัญญาณที่ส่งถึงฝ่ายบริหารให้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและต้องคิดหาวิธีการปฏิรูปหรืออุดช่องโหว่ของกระบวนการบังคับโทษโดยเร็ว โดยไม่ควรปล่อยให้เป็นภาระของศาลยุติธรรมในการตีความกฎหมายเพื่อเข้ามามีอำนาจตรวจสอบ
2. คำสั่งครั้งประวัติศาสตร์ของศาลฎีกาในครั้งนี้ แม้ว่าจะมีผลเฉพาะคดีคุณทักษิณ แต่ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ ที่อาจจะทำให้เกิดการร้องขอตรวจสอบการบังคับโทษในคดีอื่นๆ ด้วย หากศาลยุติธรรมปฏิเสธไม่รับไต่สวนให้โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นธรรมเสียเอง อย่างไรก็ตามศาลคงไม่มีเวลาและบุคลากรมากพอที่จะเข้าไปตรวจสอบการบังคับตามคำพิพากษาในทุกคดี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ศาลยุติธรรมต้องปรึกษาหารือกันภายในเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนว่ามีกรณีแบบใดบ้างที่ศาลควรเข้าไปตรวจสอบการบังคับตามคำพิพากษา