จากเกิดเหตุการณ์ที่ขึ้น ตำรวจได้ให้น้ำหนักว่า การก่อเหตุลอบยิงรถพยาบาลของมูลนิธิร่วมกตัญญูในครั้งนี้ น่าจะมาจากปมการขัดแย้งระหว่างหน่วยกู้ภัยต่างสำนัก ซึ่งตลอดระยะเวลาตั้งแต่ช่วงกลางเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ก็มีการปะทะขึ้นต่อเนื่องจนถึงขั้นยกพวกปิดโรงพยาบาล กันมาแล้ว ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีเจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิคู่กรณี เสียชีวิต 1 ราย ติดตามรายงานได้จาก คุณดารินทร์ หอวัฒกุล ผู้สื่อข่าวไบรท์นิวส์
หัวกระสุนที่ฝังติดอยู่ภายในรถ บริเวณจุดที่วางเครื่องมือปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ รวมถึงสภาพความเสียหาย จากวิถีกระสุนที่ถูกยิงเข้าใส่รถตู้พยาบาล ของมูลนิธิร่วมกตัญญู ถือเป็นหลักฐานสำคัญ หลังเกิดเหตุ2 คนร้ายลวงเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัย มูลนิธิร่วมกตัญญูไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ก่อนจะดักซุ่มยิงปืนใส่กว่า 5 นัด แม้จะโชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นเหตุสะเทือนขวัญ ที่คนร้ายลงมืออย่างอุกอาจ ก่อเหตุกับรถตู้พยาบาลที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน
จากคำให้การของพยานเล่าว่า เวลาประมาณ 03.00 น. เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิร่วมกตัญญู ที่ประจำจุดภายในซอยลาดพร้าว 71ได้รับแจ้ง จากศูนย์สั่งการณ์ ให้ไปตรวจอุบัติเหตุปั้มน้ำล้มทับคนได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณช่วง ระหว่างปากซอยลาดพร้าว 99 และ 101 แต่เมื่อไปถึงกลับไม่พบเจ้าหน้าที่จึงได้กลับรถ เพื่อไปตรวจสอบบริเวณถนนฝั่งตรงข้าม ก่อนที่จะถูกคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คนซุ่มยิง จากนั้นคนร้ายได้ขี่รถย้อนศรหลบหนีเข้าไปใน ซ.ลาดพร้าว 128
หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา เกิดเหตุปะทะกันระหว่างอาสากู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู และอาสากู้ภัยของศูนย์มนูธรรม จากการแย่งกันช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนบริเวณปากซอยลาดพร้าววังหิน 13 โดยเจ้าหน้าที่ของทั้งสองมูลนิธิ ได้มีการขับรถปาดหน้าและยิงปืนข่มขู่่ขึ้นฟ้า ก่อนที่จะมีการปะทะกันมีผู้บาดเจ็บ 2 คน
ต่อมา 3 มิ.ย. เกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างอาสากู้ภัยสยามรวมใจ กับเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู จากปัญหาการแบ่งเขตช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จนมีการแย่งผู้บาดเจ็บและเกิดการปะทะกันที่หน้าโรงพยาบาล ย่านโชคชัย 4 กระทั่งมาเกิดเหตุความรุนแรงอีกครั้งในเช้ามืดวันนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิร่วมกตัญญูที่อยู่ในเหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นคนเดียวกับที่อยู่ในคลิปเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.
แม้เบื้องต้นกล้องวงจรปิดบริเวณจุดเกิดเหตุ ไม่สามารถจับภาพของคนร้ายได้ คาดว่ามีความชำนาญพื้นที่ และรู้ทิศทางของมุมกล้อง แต่ตำรวจได้พยานหลักฐานจากหมายเลขโทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ในการติดต่อเข้ามาแจ้งเหตุ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบหาเบาะแสเพิ่มเติม พร้อมทั้งมีการประสานกล้องวงจรปิดของเอกชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เพื่อติดตามตัวคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุอย่างอุกอาจในครั้งนี้มาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว