กรณีพบการนำ หมึกบลูริง มาย่างขาย เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยสาวผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งพบสัตว์ทะเลที่มีพิษร้ายแรงกว่างูเห่าถึง 20 เท่า เสียบไม้ขายกลางแผงร้านขายปลาหมึกย่างตลาดเย็นปทุมธานี นั้น หลายคนอาจเพิ่งเคยได้ยินชื่อ หมึกบลูริง วันนี้มาทำความรู้จักกับสัตว์ชนิดนี้ให้มากขึ้นกัน
ผวา! พบ หมึกบลูริง พิษแรงกว่างูเท่า 20 เท่า เสียบไม้ขาย ย่านปทุม
สำหรับหมึกสายวงน้ำเงิน หรือ หมึกบลูริง เป็นหมึกในสกุล Hapalochlaena ในอันดับหมึกยักษ์ จัดเป็นหมึกขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง มีจุดเด่น คือสีสันตามลำตัวที่เป็นจุดวงกลมคล้ายแหวนสีน้ำเงินหรือสีม่วงซึ่งสามารถเรืองแสงได้เมื่อถูกคุกคาม ตัดพื้นลำตัวสีขาวหรือเขียว แลดูสวยงามมาก โดยตัวเต็มวัยมีขนาดลําตัวเพียง 4-5 เซนติเมตร มี 8 หนวด แต่ละหนวดยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร หลังจากเพศเมียวางไข่ ไข่จะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ และใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือนเจริญเป็นตัวเต็มวัย โดยมีอายุขัยประมาณ 1 ปี หมึกสายวงน้ำเงินมีพิษที่ผสมอยู่ในน้ำลายที่มีความร้ายแรงมาก ซึ่งร้ายแรงกว่างูเห่าถึง 20 เท่า ผู้ที่ถูกกัดจะตายภายใน 2-3 นาที ทั้งสามารถฆ่าคนได้ 26 คนในคราวเดียว นับเป็นหนึ่งในสัตว์น้ำที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก
ถิ่นกำเนิดของหมึกบลูริงอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก สามารถพบได้ในก้นทรายที่อ่อนนุ่มบริเวณที่มีน้ำตื้นและแนวปะการัง เมื่อไม่ได้หาอาหารหรือคู่ครองปลาหมึกที่มีวงแหวนสีน้ำเงินมักจะซ่อนตัวอยู่ตามรอยแยกเปลือกหอยหรือเศษซากสัตว์ทะเล วงแหวนสีฟ้าของหมึกบลูริงจะเรืองแสงขึ้นเมื่อถูกคุกคามจากสัตว์อื่นหรือเป็นสัญญานเตือนจากนักล่าอย่างเจ้าหมึกบลูริง หมึกชนิดนี้จัดเป็นผู้ล่าที่สำคัญเพราะมันมีพิษที่ร้ายแรงดังนั้น จึงเป็นหนึ่งในสัตว์ที่จะควบคุมประชากรสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลได้
เนื่องจากพิษของหมึกสายวงน้ำเงินนั้นมีสารที่ เรียกว่า เตโตรโดท็อกซิน เป็นพิษชนิดเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า พิษชนิดนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท โดยจะเข้าไปขัดขวางการสั่งงานของสมองที่จะไปยังกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิต ต้นกำเนิดของพิษในน้ำลายของหมึกสายวงน้ำเงินเกิดจากผลผลิตของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในต่อมน้ำลายของมัน ซึ่งพบได้ในไข่ของหมึก สันนิษฐานว่าเป็นกระบวนการส่งถ่ายความสามารถในการสร้างพิษจากแม่หมึกไปยังลูก โดยพบได้ตั้งแต่แรกเกิด พิษของเจ้าหมึกชนิดนี้สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 200 องศาเซลเซียสไม่สามารถถูกทำลายได้จากการใช้ความร้อนปรุงอาหารแบบปกติ
ทั้งนี้ผู้ที่ถูกหมึกวงน้ำเงินกัดจะมีอาการเริ่มจากการ “ชา” บริเวณริมฝีปาก ลิ้น ต่อมาจะชาบริเวณใบหน้า แขน ขา และเป็นตะคริวในที่สุด ต่อมาอาจมีอาการน้ำลายไหล คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการท้องเสียร่วมกับปวดท้อง ซึ่งอาการปวดท้องจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นกล้ามเนื้อจะเริ่มทำงานผิดปกติ และเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในผู้ป่วยที่ได้รับพิษปริมาณมาก พิษจะเข้าไปทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้หายใจไม่ออก เนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทำงาน จึงไม่สามารถนําอากาศเข้าสู่ปอดได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 4-6 ชั่วโมง แต่บางกรณีมีรายงานพบว่าเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเพียง 20 นาทีเท่านั้น
ถึงแม้ว่าหมึกชนิดนี้จะมีพิษทีร้ายแรงกว่างูเห่าถึง 20 เท่าแต่ก็สามารถปฐมพยาบาลเพื่อให้ผู้ที่ได้รับพิษรอดชีวิตได้ด้วยการหาวิธีนําอากาศเข้าสู่ปอด เช่น เป่าปาก ฯลฯ จากนั้นต้องรีบนําส่งแพทย์โดยด่วน เพื่อใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าการช่วยชีวิตเป็นผล ผู้ป่วยจะฟื้นเป็นปกติภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่ว่าจะขาดอากาศนานเกินไปจนทำให้ “สมองตาย” หากพบผู้ที่ได้รับพิษจากหมึกสายวงน้ำเงิน ให้ปฐมพยาบาลในทันทีหลังถูกกัด โดยใช้เทคนิคการกดรัดและตรึงอวัยวะส่วนนั้นไม่ให้เคลื่อนไหว ทั้งนี้เพื่อทำให้พิษไม่แพร่กระจายเข้าระบบไหลเวียนโลหิต โดยใช้ผ้าพันจากอวัยวะส่วนปลายไล่มาจนถึงบริเวณเหนือแผลที่ถูกกัด และไม่ควรกรีดปากแผลที่ถูกกัดเพราะจะทำให้พิษกระจายมากขึ้น เป็นการซื้อเวลาเพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น ก่อนนําผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล
อย่างไรก็ตาม หมึกสายวงน้ำเงิน เป็นสัตว์ทะเลที่พบเห็นไม่บ่อยนักแต่ก็ไม่ได้จัดให้เป็นสัตว์ทะเลหายาก ซึ่งชาวประมงมักจะพบเห็นหมึกชนิดนี้อยู่บ่อยครั้ง และในช่วงนี้ใกล้กับเทศกาลหยุดยาวปีใหม่ หากต้องการที่จะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ด้วยอาหารทะเล สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษจากการเลือกซื้อในตลาดสดก็คือเจ้าเพชรฆาตตัวน้อยที่มีพิษร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตอย่าง “หมึกบลูริง” หรือ “หมึกสายวงน้ำเงิน” ที่อาจแฝงตัวมากับหมึกสายตัวอื่น ๆ ก็เป็นได้
ทีมข่าวไบรท์ทูเดย์