จากกรณี โคเคนรักษาฟัน ที่บอส อยู่วิทยา ไม่ถูกแจ้งข้อหาแม้พบสารแปลกปลอมที่มาจากยาเสพติดในร่างกาย ทางพนักงานสอบสวนระบุถึงประเด็นสารเสพติด โดยระบุว่าทันตแพทย์ยืนยันว่าได้ให้ยาที่มีส่วนผสมของโคเคนในการรักษาทำฟันกับนายบอส เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปผสมจะทำให้เกิดสารแปลกปลอมดังกล่าวในร่างกาย
ภายหลังทันตแพทย์ในไทยได้ออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า การใช้โคเคนในการรักษาฟันนั้น ถูกใช้เป็นยาชาเมื่อ 100 ปีก่อน แต่ปัจจุบันไม่มีทันตแพทย์ใช้โคเคนในการทันตกรรมอีกต่อไปแล้ว ไบรท์ ทูเดย์จึงได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับการใช้โคเคนรักษาฟัน ที่ทันแพทย์ออกมาให้ความรู้
อาจารย์อุดมรัตน์ เขมาลีลากุล ภาควิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้พูดถึงการใช้ยาชาว่า งานด้านศัลยศาสตร์ช่องปาก กระดูกขากรรไกรและใบหน้า (oral and maxillofacial surgery) ยาชาเฉพาะที่เป็นยาที่ออกฤทธิ์สกัดกั้นการน าส่งกระแสประสาทณ.บริเวณที่ยาสัมผัสกับเส้นประสาท ผู้ป่วยจะสูญเสียความรู้สึกบริเวณอวัยวะส่วนปลายที่เส้นประสาทนั้นไปเลี้ยงเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะหมดฤทธิ์ยา ยาชาโคเคน เป็นยาชาชนิดแรกที่ถูกน ามาใช้ในผู้ป่วยโดยจักษุแพทย์ Dr. Koller ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1884 โดยนำมาใช้หยอดตาพบว่าทำให้ชาและสามารถผ่าตัดต้อหิน (glaucoma) ได้สำเร็จ หลังจากนั้นในปีเดียวกัน Dr. Halsted ได้นำโคเคนมาใช้ในช่องปากเพื่อสกัดกั้นการน ากระแสประสาทของเส้นประสาท infraorbital และ inferior alveolar ได้เป็นผลสำเร็จ ในระยะต่อมาการใช้โคเคน ได้เสื่อมความนิยมลงเพราะขนาดที่ใช้รักษาใกล้เคียงกับขนาดที่เป็นพิษและฤทธิ์เสพติด ยาชาชนิดอื่นๆจึงได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับซึ่งจะมีฤทธิ์และคุณสมบัติแตกต่างกันไป ในปี ค.ศ. 1905 ยาชาโพรเคน ซึ่งเป็นยากลุ่มเอสเทอร์ ชนิดแรกได้ถูกคิดค้นและนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง
จนถึงปี ค.ศ. 1943 ยาชากลุ่มเอมิด ตัวแรกคือลิโดเคน ได้ถูกสังเคราะห์ขึ้นและนำมาใช้แทนยาชากลุ่มเอสเทอร์ ที่พบอาการแพ้ยาได้บ่อยกว่า หลังจากนั้นได้มีการสังเคราะห์ยาชาชนิดอื่นๆในกลุ่มเอมิด ขึ้นมาเป็นลำดับ ได้แก่ เมพิวาเคน (1957), พริโลเคน (1960), บูพิวาเคน (1963) และ อาทิเคน(1969) ในปัจจุบัน ลิโดเคนก็ยังมีผู้นิยมใช้กันมากและมักถูกใช้เป็นยาเปรียบเทียบกับยาชาชนิด
ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากประวัติศาสตร์ที่มีการใช้โคเคนในทางทันตกรรมนั้น เคยมีในอดีตมากกว่า 100 ปีแล้ว แต่นับตั้งแต่มีการพัฒนายาชาตัวอื่นขึ้นมาก็ไม่เคยมีการใช้โคเคนอีกเลยในทางทันตกรรม
ทพ.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล อุปนายกทันตแพทยสภา ก็ได้ออกมาอธิบายเรื่องนี้ว่า ยาชาที่หมอฟันใช้ในปัจจุบันที่ขึ้นบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ ลิโดเคน แม้จะลงท้ายด้วย เคนเหมือนกัน แต่เป็นคนละตระกูลกันกับ โคเคน ทั้งนี้โคเคน เคยใช้เป็นยาชา จัดอยู่ในตระกูล Esters ที่เคยใช้มาเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันไม่มีหมอฟันคนใดในโลกใช้อีก เพราะว่าพบอาการแพ้ยาได้มากและมีฤทธิ์เสพติด ปัจจุบันยาชาที่หมอฟันใช้จะเป็น ยาชาตระกูล Amides ที่พัฒนาขึ้นมาเช่น ลิโดเคน เมพิวาเคน อาติเคน ซึ่งปลอดภัยกว่า มีโอกาสพบการแพ้ยาชาได้น้อยมาก
เพจ ห้องทำฟันหมายเลข 10 ได้ออกมาอธิบายการใช้โคนเคนในการรักษาฟันว่า หนึ่งในยาที่ใช้มากที่สุดในทางทันตกรรม คือ ยาชา โดยยาชาตัวแรกที่นำมาใช้ทางการแพทย์คือโคเคน ในปี ค.ศ. 1859 (150 ปีมาแล้ว!!!) แต่ด้วยข้อเสียของโคเคนที่มีระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้น และมีฤทธิ์เสพติด จึงมีการพัฒนายาที่มีสูตรโครงสร้างคล้ายโคเคน ชื่อโพรเคน ขึ้นในปีค.ศ. 1904
สิระ เตรียมเชิญหมอฟัน บอส อยู่วิทยา ชี้แจงปมใช้โคเคนรักษาฟัน หลังหมอฟันยืนยันไม่เคยใช้
หมอฟัน ไม่ถูกใจสิ่งนี้ ชี้เลิกใช้ โคเคน รักษาทันตกรรมนานแล้ว!!
แต่ในปีค.ศ. 1948 มีการนำยาชาที่มีสูตรโครงสร้างต่างไปจาก โคเคน และ โพรเคน ได้แก่ ลิโดเคน และมียาชาที่พัฒนาต่อเนื่องตามมาได้แก่ เมพิวาเคน (ค.ศ. 1965) พริโลเคน(ค.ศ. 1983; ยาชนิดนี้ไม่มีใช้ในประเทศไทย) และอาติเคน (ค.ศ. 2000)โดยยาชาทั้งสามกลุ่มนี้มีสูตรโครงสร้างคนละแบบกับโคเคน รวมทั้งกระบวนการขับยาออกจากร่างกายก็ได้สารเคมีคนละกลุ่มกับโคเคน
พร้อมทั้งอธิบายว่า แม้ชื่อของตัวยาจะมีคำว่า “เคน” เหมือนกัน แต่โครงสร้างเป็นคนละโครงสร้างกัน ดังนั้นแม้จะฉีดยาชาลิโดเคนตอนทำฟัน เมื่อไปตรวจแล้วก็ผลตรวจก็จะไม่ขึ้นว่ามีโคเคน (false positive)
อ.อ๊อด ชี้แจง โคเคน ที่พบในเลือดเกิดจากการเสพกับแอลกอฮอล์ ไม่เกี่ยวกับโคเคนที่ใช้เป็นยาชา